
ทำไม NVIDIA โดนหนักที่สุด เมื่อบริษัทเล็ก ๆ สร้างเอไอทัดเทียมกับ บิ๊กเทคฯ ด้วยเงินลงทุนต่ำกว่าหลายสิบเท่า
“ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เอ็นวิเดีย (NVIDIA) บริษัทผู้ผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิก และชิปปัญญาประดิษฐ์ที่เคยมีมูลค่าสูงสุดในโลกเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา เผชิญกับการเทขายหนักจนสูญเสียมูลค่าไปแล้วเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 20,305,798 ล้านบาท จากการเปิดตัวโมเดลเอไอตัวใหม่ ของ DeepSeek บริษัทจีนซึ่งใช้เงินลงทุนไม่ถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ
ไม่ใช่แค่ NVIDIA แต่หุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างหนัก NVIDIA ปิดตลาดร่วงลงเกือบ 17% ส่งผลให้มูลค่าตลาดลดลงเกือบ 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
Broadcom ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปอีกรายของสหรัฐร่วงลง 17.4% ขณะที่บริษัท ASML ผู้ผลิตเครื่องยิงชิป ร่วงลง 6.7% ส่วน Constellation Energy ซึ่งกำลังวางแผนสร้างกำลังการผลิตพลังงานที่สำคัญสำหรับ AI ร่วงลงมากกว่า 20%
ความกังวลของนักลงทุน สะท้อนผ่านบริษัทผลิตชิป หรือโครงสร้างพื้นฐานเอไอ หนักที่สุด
ทำไม เอไอแชตบอต DeepSeek จึงไปกระทบกับหุ้นกลุ่มนี้
สาเหตุหนึ่งที่สำคัญที่เป็นที่ถกเถียงกันในวงการเทคฯ อย่างมาก คือ DeepSeek บอกว่าใช้ชิป H800 ของ NVIDIA แค่ 2 พันใบ ก็สามารถสร้างโมเดลภาษาสำหรับเอไอได้ทัดเทียมกับ Microsoft หรือ META ได้แล้ว
เมื่อคำนวนร่วมกับจำนวนพนักงาน 200 คน และต้นทุนซื้อชิปคร่าว ๆ ราว 6 ล้านเหรียญสหรัฐ สามารถสร้างโมเดลเอไอที่ขาย API ในราคา 1 เหรียญได้ ขณะที่ยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI มีพนักงานถึง 4 พันคน เงินลงทุนต่อปีราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขาย API แถว ๆ 20 เหรียญสหรัฐ
ราคาขายต่างกันครึ่ง ๆ ต้นทุนต่างกัน 10 เท่า ?
ดังนั้น หากใช้วิธีเดียวกันในการสร้างเอไอหลังจากนี้ สตาร์ตอัพเทคฯ จะต้องการสั่งซื้อ “ชิปเอไอ” จำนวนมากไปทำไม
ข้อถกเถียงจำนวนหนึ่ง ก็มีคนที่ยังไม่ปักใจเชื่อข้อมูลของ DeepSeek ว่าลงทุนชิประดับสูงเพียง 2พันใบในคลัสเตอร์ประมวลผล
หนึ่งในนั้นคือ “อีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีเทคโนโลยี กล่าวใน X ว่า DeepSeek อาจปิดบังเรื่องชิประดับสูงที่เขาคาดว่าน่าจะใช้นับหมื่นใบ เนื่องจากต้องระวังมาตรการห้ามส่งออกชิปจากสหรัฐ
ประกอบกับก่อนหน้านี้หนึ่งสัปดาห์ NVIDIA กำลังเผชิญกระแสข่าวว่า ตอนนี้คำสั่งซื้อชิปรุ่นใหม่อย่าง H200 และ Blackwell ที่กำลังจะออกสู่ตลาดในปีนี้ชะลอตัวลง จนมีการลดกำลังผลิต จน “เจนเซน หวง” ซีอีโอ ต้องออกมาบอกว่า ไม่ใช่การลดการผลิต แต่กำลังเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีผลิตใหม่ในโรงหล่อของ TSMC เพื่อรองรับสายการผลิตชิป Blackwell
ดัฃนั้นหุ้นบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกันจึงได้รับผลกระทบจากความกังวลนี้ไปด้วย เพราะ NVIDIA ผูกขาดชิปเอไอมากกว่า 80% ของตลาด
ในเรื่องคำสั่งซื้อลดลงหรือไม่ ยังเป็นเรื่องน่าจับตา ก่อนการประกาศผลประกอบการของ NVIDIA ในเดือนหน้า
ความกังวลเรื่องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเอไอ โดยเฉพาะคลัสเตอร์ประมวลผล ที่บิ๊กเทคฯ สหรัฐ ลงทุนไปรวม ๆ กันแสนล้านเหรียญสหรัฐ ดูจะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทำให้เกิดความกังวลว่าอาจจะไม่ได้ทุนคืนง่าย ๆ
จากรายงานของ State of AI 2024 ชี้ให้เห็น ดัชนี Compute Cluster ว่ามีการสะสมชิปเอไอในดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนเท่าไหร่
โดย ชิปกลุ่ม GPU NVIDIA A100 ซึ่งเป็นชิปรุ่นเก่า แต่ก็เป็นส่วนสำคัญของการประมวลผลเอไอขนาดใหญ่ยังคงที่ ระบุว่า META ครองชิป A100 ไว้มากที่สุดที่ 21,400 ใบ รองลงมาเป็น Tesla ที่ 16,000 ใบ ส่วนอันดับสาม Leonardo 13,824 ใบ และอันดับสี่คือ DeepSeek ที่ 10,000 ใบ
สำหรับคลัสเตอร์ NVIDIA H100 การเติบโตของกลุ่ม GPU ขนาดใหญ่ที่แท้จริงมาจาก H100s ที่ใหญ่ที่สุดยังคงเป็น Meta ครอง 3.5 แสนใบ H100s, xAl’s 1แสนใบ และ Tesla 3.5หมื่นใบ
ในขณะเดียวกัน Lambda Oracle และ Google ได้สร้างคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ที่รวมมากกว่า 7.2 หมื่นใบ บริษัทต่าง ๆ รวมถึง Poolside, Hugging Face, Deepl, Recursion, Photoroom และ Magic มีความต้องการมากกว่า 2 หมื่นใบ
นอกจากนี้ กลุ่มชิป รุ่นใหม่ NVIDIA GB200 กลุ่มแรกกำลังเริ่มดำเนินการติดตั้งในดาต้าเซ็นเตอร์ ได้แก่ 10,752 ในศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติสวิส ในขณะที่ OpenAl จะสามารถเข้าถึง GB200 จำนวน 300,000 ใบ ภายในสิ้นปีหน้า
ความต้องการชิปใน Compute Cluster ส่งผลต่อรายได้และคำสั่งซื้อของ NVIDIA
ในขณะที่ DeepSeek มีชิปรุ่นเก่าอย่าง A100 และ H800 ซึ่งไม่อยู่ในรายงานดัชนี Compute cluster ด้วยซ้ำ
ดังนั้น หากถามว่าทำไม DeepSeek ทำให้ตลาดหุ้นเทคฯ ร่วง นั่นก็น่าจะมีเหตุผลมาจากความกังวลปนกับ “กังขา” ว่า เมื่อสหรัฐ ลงทุนไปมากกับโครงสร้างชิปและการประมวลผล แต่เอไอที่จีนสร้างกลับสามารถแข่งขันได้อย่างง่ายได้
นี่ยังไม่ใช่จุดจบ ยังมีการเปิดตัวโมเดล Next Gen ของ OpenAI ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่ง “แซม เอาต์แมน” บอกว่าเป็นอีกจุดเปลี่ยน ที่สะท้อนความสามารถทางเทคโนโลยี ที่เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานการประมวลผลชั้นยอด