ด้วยยอดขายสมาร์ทโฟนกว่า 200 ล้านเครื่อง จึงไม่แปลกใจที่เกิดกระแสความแตกตื่นและหวั่นวิตกกังวลในหมู่ผู้บริโภคว่า สมาร์ทโฟน “หัวเว่ย” ที่ครอบครองอยู่จะไม่ได้รับการซัพพอร์ต จาก “Google” เพราะเป็นหนึ่งในบัญชีรายชื่อบริษัทที่ถูกทางการสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำ ใน Entity List ไม่ให้บริษัทสหรัฐฯ ทำการค้าด้วย ( ‘ทรัมป์’ เปิดศึกขั้นแตกหักกับ ‘หัวเว่ย’ ออกคำสั่งห้ามซื้อ/ใช้งานอุปกรณ์จากบริษัทที่เสี่ยงต่อความมั่นคง )
แม้ว่า ทางบัญชีทวิตเตอร์ทางการของ Android (@Android) จะออกแถลงการณ์สั้นๆ ว่า ยังคงให้บริการ Google Play และอัพเดตความปลอดภัยจาก Google Play Protect ให้กับอุปกรณ์ Huawei รุ่นปัจจุบัน (#Huawei ขึ้นเบอร์ 1 ทวิตฮิตในไทย-ชาวเน็ตตื่นตัวผลกระทบ “หัวเว่ย” โดนแบน)
- เช็กที่นี่ ออมสิน-ธ.ก.ส. จัดสินเชื่อปิดหนี้นอกระบบ 20,000 บาท ใครกู้ได้บ้าง!
- กรุงเทพฯ กปน.หยุดจ่ายน้ำ 21 มี.ค. 18 พื้นที่ รับมือน้ำไม่ไหล เช็กที่นี่
- ออมสิน-ธอส. ออกเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษ ปลอดภาษี หมดเขตสิ้น มี.ค.นี้
แต่ก็ยังไม่ชัดเจนถึง “อนาคต” ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ล่าสุดเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 20 พ.ค. 2562 “หัวเว่ย” ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าวเป็นภาษาไทยระบุว่า จากกรณีการนำเสนอข่าวของสํานักข่าวรอยเตอร์ เกี่ยวกับกูเกิลจะระงับการทำธุรกิจกับหัวเว่ยนั้น
หัวเว่ยขอชี้แจงว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หัวเว่ยได้เป็นส่วนสำคัญในพัฒนาการและการเติบโตของแอนดรอยด์ทั่วโลก และในฐานะที่เป็นพันธมิตรรายหลักของแอนดรอยด์ในระดับโลก เราได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับแพลทฟอร์มโอเพ่นซอร์ซของพันธมิตรทั่วโลกเพื่อพัฒนาอีโคซิสเต็มที่ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อผู้ใช้และต่ออุตสาหกรรมนี้
หัวเว่ยขอให้ความมั่นใจว่าจะยังคงให้บริการอัพเดทซอฟท์แวร์ด้านความปลอดภัยและบริการหลังการขายแก่ผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตของหัวเว่ยที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งหมดต่อไป ครอบคลุมถึงโมเดลที่ได้จำหน่ายออกไปแล้วและที่ยังรอการจัดจำหน่ายอยู่ในสต็อคทั่วโลก
เราขอยืนยันว่าจะยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างอีโคซิสเต็มของซอฟท์แวร์ที่ปลอภัยและยั่งยืนเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดสู่ผู้ใช้ทั่วโลก
ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ นายเหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Huawei ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนต่างประเทศ ว่า ข้อจำกัดที่สหรัฐฯตั้งขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ Huawei มากนัก และหัวเว่ยยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างไม่มีปัญหา แม้ว่าจะไม่สามารถซื้อชิปจากซัพพลายเออร์ในสหรัฐฯ