ดีอีเอส ตั้งคณะทำงานแก้ปัญหาหลอกลวงออนไลน์ระยะยาว

ดีอีเอส แท็กทีม สตช. ตั้งคณะทำงาน ลุยแก้ปัญหาหลอกลวงทางออนไลน์ทั้ง กู้เงิน แฮกบัญชี ปลอมแปลงเอกสาร พร้อมเปิดสถิติ 5 เดือน มีเรื่องร้องเรียนกว่า 700 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท

วันที่ 6 ตุลาคม 2564 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ที่ประชาชนร้องเรียน ร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การหลอกลวงทางออนไลน์ สั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้ของ หรือไม่ได้คุณภาพตามที่โฆษณา หลอกลงทุนออนไลน์ แชร์ออนไลน์ กู้เงิน แฮกบัญชี  ปลอมแปลงบัญชี หลอกโอนเงิน SMS หลอกกู้เงิน มีผู้เสียหายนับหลายพันคดี มูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท

“การแพร่ระบาดโควิด ทำให้อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของผู้คนไทยคิดเป็นสัดส่วน 80%ของประชากรทั้งประเทศ และผู้บริโภคหันมาใช้ทำธุรกรรมต่างๆผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น กลายเป็นช่องว่างที่ทำให้มิจฉาชีพเข้าหาประชาชนได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย”

เปิดสถิติร้องเรียน เฟซบุ๊ก สูงสุด

ทั้งนี้ จากสถิติการรับแจ้งปัญหาการซื้อขายออนไลน์ ผ่านสายด่วน 1212 พบว่า แต่ละปีมีปริมาณร้องเรียนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ผู้บริโภคนิยมเน้นการซื้อของผ่านออนไลน์เป็นที่นิยมต่อเนื่อง โดยสถิติร้องเรียนในปีนี้ (1 ม.ค. – 4 ต.ค. 64) มากสุด 3 อันดับแรก คือ ได้รับสินค้าไม่ตรงตามข้อตกลง (ผิดสีผิดขนาด) ไม่ได้ตามโฆษณา ตามมาด้วย ไม่ได้รับสินค้า (หลอกลวง) และได้รับสินค้าชำรุด

สำหรับช่องทางการซื้อขายที่มีสถิติการร้องเรียนจากผู้ซื้อสินค้าออนไลน์มากสุด ได้แก่ การซื้อผ่านเฟซบุ๊ก คิดเป็นสัดส่วนถึง 82.4% จำนวนการร้องเรียน 19,296 ครั้ง ตามมาด้วย เว็บไซต์ 4.6% อินสตาแกรม 4.3% อีมาร์เก็ตเพลส 3.8% ไลน์ 3%ทวิตเตอร์1.4% อื่นๆ 0.5% และยูทูบ 1%

ทั้งนี้ กระทรวงดีอีเอสได้ตั้งคณะทำงานขึ้น เพื่อดำเนินการและติดตามการกระทำความผิดทางออนไลน์ที่พุ่งขึ้นต่อเนื่อง ด้วยการบูรณาการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ และเอกชน ซึ่งได้มีการประชุมหารือกับแพลต์ฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก กูเกิล ไลน์ ช้อปปี้ Tiktok เจดีเซ็นทรัล และลาซาด้า เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าออนไลน์ที่เกิดขึ้น ในการวางแนวทางการการป้องกัน ปราบปราม และให้ความรู้แก่ประชาชน

อีกทั้งได้ร่วมทำงานอย่างใกล้ชิดกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กองบังคับการปราบปรามการการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดทรัพย์ (ก.ล.ต.) และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพทางออนไลน์ รวมถึงรวบรวมหลักฐานติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้เร็วที่สุด  เพราะถือว่าเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ

“เรามีแนวทางชัดเจนว่าในจะดำเนินการให้มีความเข้มข้นมากขึ้น กระทรวง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ยกระดับการให้บริการประชาชนผ่านสายด่วน 1212 ตลอด 24 ชม. หรือ เว็บไซต์ https://www.1212occ.com หรือ email: [email protected] ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบหรือความเสียหาย”

สำหรับข้อกำหนดลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมาย กรณีฉ้อโกงต่อประชาชนจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษสูงขั้นจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 11 ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท

และหากการกระทำใดเข้าข่ายหลอกลวง ก็มีความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (1) โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีความผิดตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

5 เดือนมูลค่าความเสียหายทะลุ 500 ล้านบาท

พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบช.สอท.) กล่าวว่า ล่าสุด บช.สอท. ยังได้ร่วมกับสำนักงาน กสทช. และค่ายมือถือต่างๆ วางแนวทางจัดการปัญหา SMS และโทรศัพท์หลอกลวงประชาชน   โดยผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือทุกราย จะทำการบล็อก SMS ที่มีเนื้อหาชัดเจนว่าเป็นการหลอกลวง เว็บพนันออนไลน์ หรือลามกอนาจารทันที และเร่งตรวจสอบ กำกับดูแลกันเองอย่างเคร่งครัด และให้ทุกค่ายเริ่มทำการ Backlist ผู้ที่ส่งข้อความหลอกลวง หลังจากที่ได้มีการแชร์ข้อมูล SMS หลอกลวงระหว่างกันแล้วพบว่ามาจากผู้ส่งรายเดียวกัน

อย่างไรก็ตามหลังจากดำเนินการตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาถึงปัจจุบันพบว่าได้รับเรื่องร้องเรียนกว่า 700 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 548 ล้านบาท

สำหรับกรณีการโทรหลอกลวงประชาชนโดยตรง ผู้ให้บริการมือถือทุกราย สามารถตรวจสอบการกระทำความผิดได้ชัดเจน เนื่องจากเบอร์โทรศัพท์มือถือที่มิจฉาชีพใช้สามารถตรวจสอบจากการลงทะเบียนได้ว่าใครเป็นเจ้าของเบอร์นั้น ถือเป็นหลักฐานที่ระบุต้นทางที่มา ประกอบกับข้อมูลที่ประชาชนให้ข้อมูลการหลอกลวง ส่งคลิป หรือแจ้งเบอร์โทรศัพท์เข้ามาเพื่อเป็นข้อมูล บช.สอท.จะตรวจสอบกับค่ายมือถือ และ สำนักงาน กสทช. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายในการดำเนินคดีเอาผิดกับมิจฉาชีพต่อไป