พิษกำลังซื้อ ครึ่งปีหลังซบ “ไอที-มือถือ” ถล่มโปรฯ 0%

ค้าปลีกไอที

 

ยักษ์ “ไอที-มือถือ” ผวาเงินเฟ้อพุ่งติดเบรกกำลังซื้อครึ่งปีหลัง “เลอโนโว” ใจป้ำเพิ่มงบฯการตลาด 50% รับส่วนต่างภาระดอกเบี้ยนานขึ้น อัดโปรฯผ่อน 0% นาน 2 ปี ปั๊มยอดขาย จับตาพิษบาทอ่อน ดันสินค้าปรับราคา ฝั่งเชนค้าปลีกมือถือ “เจมาร์ท” งัดแคมเปญ “เครื่องเก่าแลกใหม่” พร้อมส่วนลดค่าเครื่องประคองยอดไตรมาส 3 รอไฮซีซั่น-แบรนด์ดังเปิดตัวรุ่นใหม่

นายวรพจน์ ถาวรวรรณ ผู้จัดการทั่วไป ประจำเมียนมา ลาว กัมพูชา และผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์คอมซูเมอร์ เลอโนโว ประเทศไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์เงินเฟ้อส่งผลต่อกำลังซื้อโดยตรง รวมเข้ากับค่าเงินบาทอ่อนตัวทำให้ราคาสินค้าไอทีมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น

แม้ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะวางแผนสต๊อกวัตถุดิบไว้ล่วงหน้าจากที่เคยมีประสบการณ์ซัพพลายชอร์ตเทจช่วงที่ผ่านมา แต่สินค้าไอทีต้องนำเข้าแทบทุกส่วน ทั้งส่วนประกอบบางอย่างยังหายากจึงคาดว่าแบรนด์ต่าง ๆ จะทยอยปรับราคาสินค้าขึ้นอย่างช้าที่สุดภายในเดือนกันยายนนี้ หรือราวไตรมาส 4/2565 นั่นทำให้บริษัทเตรียมเพิ่มงบประมาณด้านการตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 50% เทียบปีที่ผ่านมาเพื่อกระตุ้นยอดขายและประคับประคองกำลังซื้อในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ผ่อน 0% ยาว 2 ปีฝ่าปัจจัยลบ

โดยในครึ่งปีหลังจะจัดเป็นโปรโมชั่น “ฟ้าผ่า ท้าหน้าฝน” ขยายโปรแกรมผ่อนชำระ 0% ลงไปในกลุ่มสินค้าราคาระดับกลาง พร้อมทั้งยืดระยะเวลาการผ่อนนานสูงสุดถึง 24 เดือน แม้จะทำให้บริษัทต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยค่อนข้างนานก็ตาม แต่ถือเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรับแรงกระแทกจากปัจจัยลบต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาโปรแกรมผ่อน 0% จะมีให้เฉพาะกับสินค้าราคาสูงกว่า 25,000 บาทขึ้นไป กระทั่งในช่วงโควิดที่ผ่านมาเมื่อคอมพิวเตอร์กลายเป็นสิ่งจำเป็นจึงเปิดโอกาสให้สินค้าระดับราคาหมื่นต้น ๆ เข้าโปรแกรมผ่อน 0% ได้ด้วย แต่ระยะเวลาการผ่อนจะอยู่ระหว่าง 6-12 เดือน

นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมแคมเปญอัพเกรดคอมพิวเตอร์พร้อมของแถมต่าง ๆ เช่น ในรุ่น IdeaPad Gaming จะสามารถอัพเกรดเพิ่มแรมได้ในราคาเท่าเดิม เป็นต้น

สินค้าไอทีจ่อปรับราคาขึ้น

“ก่อนหน้านี้เราเพิ่งเปิดตัวสินค้าต่อเนื่อง 2 รุ่น คือ Legion และ Yoga ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากงานคอมมาร์ต ทำให้เกมมิ่งโน้ตบุ๊กของเลอโนโวหลายรุ่นขายจนหมดสต๊อก จึงมองว่าการเตรียมโปรโมชั่นออนท็อปไว้สำหรับครึ่งปีหลังจะช่วยกระตุ้นการซื้อได้พอสมควร และน่าจะเพียงพอที่จะรักษาอัตราการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดที่โตกว่าตลาดโดยรวมที่ 10% ต่อเดือนไว้ได้”

นายวรพจน์กล่าวถึงการเข้าร่วมในงานคอมมาร์ตครั้งที่ผ่านมาด้วยว่า สินค้าขายดีของบริษัทเป็นกลุ่มโน้ตบุ๊กเกมมิ่งรุ่นท็อป คาดว่าแบรนด์อื่น ๆ ก็คงเป็นในลักษณะเดียวกัน เพราะโน้ตบุ๊กเกมมิ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ครบ ทั้งเล่นเกม ทำงาน และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ทั้งช่วงที่ผ่านมานี้อาจเป็นโค้งสุดท้ายที่แบรนด์ต่าง ๆ จะขายสินค้าด้วยต้นทุนเดิม ก่อนปรับราคาขึ้น

ด้านนายพรชัย จันทรศุภแสง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อไอซีทีและการจัดงาน บมจ.เออาร์ไอพี ผู้จัดงานคอมมาร์ต กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า งานคอมมาร์ตครั้งล่าสุดทำยอดขายได้ราว 3,100 ล้านบาท เท่ากับครั้งที่แล้วและต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 3,200-3,300 ล้านบาทเล็กน้อย และเดิมคาดว่าคอมพิวเตอร์แบบประกอบเอง (DIY) น่าจะมาเป็นกลุ่มสินค้าที่มาแรง

แต่จากตัวเลขยอดขายที่เก็บได้จากใบเสร็จที่ลูกค้านำมาลุ้นโปรโมชั่น “บิ๊กโบนัส” พบว่าสินค้าขายดีอันดับแรก คือ “โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง” มีสัดส่วนถึง 52% ขณะที่คอมพิวเตอร์ DIY มีสัดส่วน 27% ตามด้วยเกมมิ่งเกียร์ อุปกรณ์เสริม และแก็ดเจตต่าง ๆ ที่ 9% ถัดมาเป็นสมาร์ทโฟนและการ์ดจอตามลำดับ โดยการ์ดจอขยับลงมาอยู่อันดับ 5 จากเดิมอยู่อันดับ 3

อัดโปรฯสนั่นคอมมาร์ต

นายพรชัยกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีการเปิดตัวสินค้าใหม่จากฝั่งโน้ตบุ๊กค่อนข้างมาก จึงมีการเทขายสินค้ารุ่นก่อนหน้า โดยในงานคอมมาร์ตรอบนี้มีการแข่งขันด้านโปรโมชั่นจากฝั่งแบรนด์และผู้จัดจำหน่ายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง

“ลูกค้าหลักของงานคอมมาร์ตปกติจะมี 2 กลุ่ม คือ เกมเมอร์กับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ แต่ในปีที่ผ่านมามีกลุ่มนักขุดคริปโตมาแย่งซื้อด้วย โดยเฉพาะตัวการ์ดจอทำให้มีการนำการ์ดจอออกมาแยกขายจนกลายเป็นสินค้ายอดนิยม แต่ปัจจุบันความนิยมในการขุดคริปโตลดลงมาก ปรากฏการณ์ดังกล่าวจึงหายไปด้วย ทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนมาเป็นค่อย ๆ ใช้เวลาพิจารณาสินค้ามากขึ้น มีการเปรียบเทียบสินค้าหน้าร้านมากขึ้น ทำให้งานรอบนี้มีเด็กวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่มาเดินมากขึ้น ส่วนโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนปีที่ผ่านมา อาจเพราะเริ่มกลับไปทำงานที่ออฟฟิศกันแล้ว”

“เจมาร์ท” อัดฉีดส่วนลดค่าเครื่อง

ด้านนายนราธิป วิรุฬห์ชาตะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แม้ตัวเลขเงินเฟ้อจะสูงถึง 7-8% แต่เชื่อว่าสำหรับผู้บริโภคค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ที่ปรับขึ้นน่าจะมากกว่าตัวเลขเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงการซื้อโทรศัพท์มือถือด้วยไม่มากก็น้อยแม้จะเป็นสิ่งจำเป็น

ขณะที่ในฝั่งของผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิตและร้านค้าปลีกก็ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตและขนส่งที่สูงขึ้นจึงย่อมต้องปรับราคาสินค้าขึ้น ซึ่งบริษัทเองก็ต้องปรับราคาตามโครงสร้างที่ปรับขึ้น แม้จะมองว่าการขึ้นราคาจะยิ่งทำให้ขายยากขึ้น

“ไตรมาส 3 อาจยังพอมีกำลังซื้ออยู่บ้าง แต่คงไม่เติบโตมากเพราะค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคปรับขึ้นหมด ดังนั้น เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อเราจึงเตรียมแคมเปญสำหรับไตรมาสนี้ไว้ ทั้งการอุดหนุนส่วนลดค่าเครื่อง ทั้งกรณีเปิดเบอร์ใหม่พร้อมเครื่อง และการนำเครื่องเก่ามาแลกส่วนลดเพื่อซื้อเครื่องใหม่ รวมไปถึงการทำราคาพิเศษในบางรุ่นโดยจะใช้งบประมาณราว 1 ล้านบาทต่อเดือน ในระยะ 2 เดือนจากนี้ ส่วนในช่วงไตรมาส 4/2565 ปกติจะมีการเปิดตัวสินค้า “เรือธง” ของผู้ผลิตหลายแบรนด์จึงน่าจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นยอดขายได้

“ไตรมาส 4 ปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่แล้ว เพราะทุกอย่างเปิดหมดแล้วทั้งห้างและเมือง เมื่อการท่องเที่ยวกลับมาเศรษฐกิจในภาพรวมน่าจะฟื้นตัวทำให้กำลังซื้อกลับมาแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งในไตรมาสสุดท้ายของปียังเป็นช่วงเวลาของการจับจ่ายใช้สอยด้วย”