“แจ่มฟ้า” ทุนค้าปลีกลำพูน ชูเป้า 1.9 พันล้าน-5 ปีผุด 30 สาขา

นายแพทย์ณัฐพล วงศ์มณีรุ่ง-ศิรินทร์ญา วงศ์มณีรุ่ง
คอลัมน์ : สัมภาษณ์

กว่า 4 ทศวรรษที่ “แจ่มฟ้าเซฟมาร์ท” ธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตในเครือแจ่มฟ้า กรุ๊ป ห้างค้าปลีกเก่าแก่แห่งเมืองลำพูน เติบโตอย่างรวดเร็วถึง 17 สาขา และสามารถต่อกรกับทุนโมเดิร์นเทรดยักษ์ใหญ่ โดยขับเคลื่อนการตลาดด้วยกลยุทธ์ “ราคาถูก”

“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ 2 พี่น้องรุ่นเจน 3 “นายแพทย์ณัฐพล วงศ์มณีรุ่ง” และ “ศิรินทร์ญา วงศ์มณีรุ่ง” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แจ่มฟ้าเซฟมาร์ท จำกัด

40 ปีจากอากงสู่เจน 3

ชื่อ “แจ่มฟ้า” มีที่มาจากนามสกุลเดิมของ “อากง” แซ่ฮุ้น ซึ่งฮุ้นในภาษาจีน แปลว่า “เมฆ” อยู่บนท้องฟ้า “อากง” จึงนำมาตั้งชื่อธุรกิจยุคบุกเบิกเมื่อปี 2495 “ห้างแจ่มฟ้าอาภรณ์” ประกอบกิจการตัดเย็บเสื้อผ้าให้ข้าราชการและคนทั่วไปในจังหวัดลำพูน

จากนั้นในปี 2510 เปลี่ยนขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปและของชำ ด้วยสภาพการค้าสมัยใหม่ที่เข้ามาในยุคนั้น ทำให้ต้องปรับตัว กระทั่งปี 2526 เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสู่เจน 2 คือ คุณแม่ “อัญเชิญ วงศ์มณีรุ่ง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แจ่มฟ้าเซฟมาร์ท จำกัด ที่นำความทันสมัยเข้าสู่เมืองลำพูนเมื่อ 40 ปีก่อน

ได้รวบรวมสินค้าหลากหลายมาขายภายใต้ชื่อ “สรรพสินค้าแจ่มฟ้าพลาซ่า” ถือเป็นธุรกิจค้าปลีกภายใต้แบรนด์ “แจ่มฟ้า” แห่งแรกของจังหวัดลำพูน ซึ่งปัจจุบันธุรกิจในเครือแจ่มฟ้า กรุ๊ป ได้แก่ 1.บริษัท แจ่มฟ้าเซฟมาร์ท จำกัด 2.บริษัท แจ่มฟ้าช้อปปิ้งมอลล์ จำกัด และ 3.บริษัท แจ่มฟ้าพลาซ่า สรรพสินค้า จำกัด

เป้าปีนี้โตเฉียด 2 พันล้าน

นายแพทย์ณัฐพลเล่าว่า ปี 2565 แจ่มฟ้าเซฟมาร์ทมีการเติบโตชัดเจน มีสาขารวม 17 สาขา ทั้งในลำพูน และเชียงใหม่ ยอดขายประมาณ 1,700 ล้านบาท กลยุทธ์เด่น คือ “ราคาถูก” และเน้นทำตลาดทุกกลุ่มลูกค้า หลอมรวมรูปแบบค้าปลีก-ค้าส่งไว้ในที่เดียวกัน เป็นโมเดลที่ใช้กับทุกสาขา

ซึ่งมีการตั้งราคาใน 3 ระดับคือ 1.สินค้าที่ซื้อเดี่ยว 2.สินค้าที่ซื้อแพ็ก 3.สินค้าที่ซื้อยกหีบ-ยกลัง มีสินค้าครบครันในแต่ละสาขาตั้งแต่ 6,000-10,000 ไอเท็ม

ส่วนค้าปลีกมีกลุ่มลูกค้าหลักคือ กลุ่มคนทั่วไป แม่บ้าน หรือครอบครัว ที่ปกติจะซื้อสินค้าเดี่ยวชิ้นเดียวหรือซื้อเป็นแพ็ก ส่วนค้าส่ง กลุ่มลูกค้าหลักคือ ร้านขายของชำในชุมชนที่ซื้อสินค้าไปขายต่อ ซึ่งราคาทั้ง 3 กลุ่มแตกต่างกัน เช่น ซื้อแบบค้าส่งยกหีบ-ยกลัง ราคายิ่งถูกลง

ปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นยอดขายในจังหวัดลำพูน คือ เศรษฐกิจของจังหวัดขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งนิคมอุตสาหกรรม มีแรงงาน 70,000-80,000 คน เป็นเมืองเกษตรกรรม มีการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งของทุนท้องถิ่นและทุนส่วนกลาง

รวมถึงการลงทุนสร้างโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง ทั้งหมดเป็นกำลังซื้อสำคัญ แม้จังหวัดลำพูนมีขนาดเล็กที่สุดของภาคเหนือ แต่รายได้ประชาชาติต่อหัว (GPP) สูงเป็นอันดับ 1 ของภาคเหนือ

ศิรินทร์ญากล่าวว่า ปี 2566 แจ่มฟ้าเซฟมาร์ท มีสาขารวม 21 สาขา แบ่งเป็น ลำพูน 7 สาขา และเชียงใหม่ 14 สาขา โดย 2 สาขาล่าสุดที่เปิดเพิ่มที่เชียงใหม่ ได้แก่ สาขาสันกำแพง (สายใหม่) ก่อนถึงตลาดเจริญ และสาขาสันทรายน้อย (ใกล้วัดสันทรายน้อย) รายได้ปี 2566 ตั้งเป้าโต 10-15% คิดเป็นรายได้ประมาณ 1,800-1,900 ล้านบาท

แจ่มฟ้า

นายแพทย์ณัฐพลกล่าวเสริมว่า ตลาดเชียงใหม่ยังมีช่องว่าง และมีศักยภาพค่อนข้างมาก โดยจะรุกเข้าไปตามอำเภอต่าง ๆ รอบนอกและย่านชุมชน เพื่อเจาะฐานกลุ่มกำลังซื้อให้กว้างและครอบคลุม ถ้าเป็นไปได้จะให้ครบทั้ง 25 อำเภอของเชียงใหม่ อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี แบรนด์แจ่มฟ้าได้สร้างความเป็นตัวตน (brand identity) ที่ชัดเจน

เป็นแบรนด์ที่ลูกค้ายอมรับและเชื่อมั่น ด้วยความเป็นทุนท้องถิ่นที่แข่งกับโมเดิร์นเทรดมาตลอดในพื้นที่ลำพูน พิสูจน์แล้วว่าเราแข่งขันได้ เพราะสิ่งที่ทำตอบโจทย์ลูกค้าได้ เรามีขีดความสามารถในการแข่งขันที่พิสูจน์ได้

ปี 2567 มีแผนขยายเพิ่มอีก 2 สาขาในเชียงใหม่ ย่านอำเภอแม่ริม อยู่ระหว่างเลือกดูทำเล ทั้งนี้ แต่ละสาขาจะมีขนาดใกล้เคียงกัน คือ 300 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนสาขาละประมาณ 5 ล้านบาท (เฉพาะการก่อสร้าง) ภายใน 5 ปี คาดว่าการขยายสาขาจะแตะที่ 30 สาขา

อย่างไรก็ตาม การขยายสาขาไปยังจังหวัดอื่นในภาคเหนือ ยังไม่มีแนวคิด เพราะในแต่ละพื้นที่มีทุนค้าปลีกท้องถิ่นที่แข็งแรง และผ่านสมรภูมิเดียวกันมาคือ การสู้กับโมเดิร์นเทรด จะมีความเป็นกลุ่มก้อน เป็นเพื่อนกัน

ชูกลยุทธ์ “ราคาถูก”

ศิรินทร์ญากล่าวว่า ตั้งแต่รุ่นคุณแม่ใช้กลยุทธ์ให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด โดยชูกลยุทธ์ราคาถูกกว่า อย่างน้อย 1 บาท เน้นถูกทุกวันและถูกทุกตัวสินค้า กระจายทุก category ให้ราคาที่เหมาะสมยุติธรรม ยึดสโลแกน “ถูกจริง ประทับใจ ไปแจ่มฟ้า” เน้นสินค้าราคาถูกและดี เอากำไรน้อย ให้ลูกค้ามีความประทับใจในแง่บริการ ภาพลักษณ์ เป็นจุดยึดในการขยายสาขา เน้นเปลี่ยนโปรโมชั่น 2 สัปดาห์ต่อครั้ง

เราทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์เกือบ 300 บริษัท เราขายมานาน การต่อรองกับซัพพลายเออร์มีโอกาสมากขึ้น ซึ่งซัพพลายเออร์แต่ละที่มีกลยุทธ์การตลาดแตกต่างกัน ส่วนแผนการพัฒนาแต่ละสาขาในอนาคต จะเติมสินค้าประเภทของสด แช่แข็ง ผัก ผลไม้ เพื่อความเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่ครบสมบูรณ์มากขึ้น

ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันพบว่า 99% ลูกค้าเข้ามาจับจ่ายหน้าร้านเอง มีสั่งซื้อผ่านออนไลน์สัดส่วนน้อย ไม่ถึง 1% ดังนั้นในอนาคตมีแผนพัฒนาการตลาดช่องทางออนไลน์มากขึ้น

Local Low Cost ยอดพุ่ง 40 ล้าน

นายแพทย์ณัฐพลกล่าวว่า แจ่มฟ้าเซฟมาร์ทได้เข้าร่วมมหกรรมลดราคาสินค้า โครงการ Local Low Cost ที่ผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่งภูธรกว่า 50 ราย ประกาศผนึกกำลังลดราคาพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1-10 กันยายน 2566 ซึ่งประสบความสำเร็จเกินคาด ภาพรวมยอดขาย 10 วัน อยู่ที่ราว 40 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยได้รับความร่วมมือและสนับสนุนอย่างเต็มที่จากซัพพลายเออร์ทุกรายลดราคาสินค้าให้ต่ำลงไปมากกว่าเดิม อาทิ โปรโมชั่นสิทธิแลกซื้อ 1 บาท ซึ่งภาพรวมแจ่มฟ้าเซฟมาร์ท จัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าสูงสุดถึง 80% ทั้งนี้ เบื้องต้นได้มีการพูดคุยกับกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีก-ค้าส่งภูธรว่า โครงการนี้จะมีการทำอย่างต่อเนื่อง อาจมีกิจกรรมในลักษณะนี้ในช่วงปลายปีอีก

ธุรกิจครอบครัวเติบโตยั่งยืน

ศิรินทร์ญากล่าวว่า วางเส้นทางการเติบโตของแจ่มฟ้าเซฟมาร์ทแบบค่อย ๆ โต จุดที่เราอยู่ ณ วันนี้ เราอยู่รอดได้แน่นอนในสภาพตลาด ต้องติดตามสถานการณ์ เทรนด์ค้าปลีก-ค้าส่ง แก้ปัญหาตามหน้างาน ปรับตัวให้เร็ว ต้องพัฒนาตลอดเวลา การขยายใช้ทุนของตัวเอง วางระบบหลังบ้านให้ดีมีคุณภาพ สามารถตรวจสอบได้ ส่วนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯยังไม่มีแผนใด ๆ หลายปีที่ผ่านมาเคยมีการพูดคุยกัน

ซึ่งเมื่อดูวัตถุประสงค์หลักก็ยังไม่เจอ เราโตมาแบบธุรกิจครอบครัว เรามีความสุขในการทำงานร่วมกัน ขณะที่การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯอาจมีความสุขในอีกแบบหนึ่ง แต่วันนี้เน้นทำงานให้มีความสุข ให้พนักงาน 300 กว่าคนมีความสุข รวมถึงพนักงานของซัพพลายเออร์อีก 150 คนที่ต้องดูแล ซึ่งถือเป็นทีมเดียวกัน

นายแพทย์ณัฐพลกล่าวเสริมว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯคือ เข้าไประดมทุน ซึ่งการระดมทุนมากขนาดนั้น เพื่อเปิดสาขาอย่างรวดเร็ว เรายังไม่อยากทำ เราอยากขยายสาขาแบบค่อยเป็นค่อยไป ถ้าลูกค้าเห็นประโยชน์ที่เราทำ เราก็จะไปต่อแบบยั่งยืนได้