กาแฟ “ฮิลล์คอฟฟ์” โต 300 ล้าน ต่อยอดทำเครื่องดื่มสุขภาพ

กาแฟฮิลล์คอฟฟ์ จ.เชียงใหม่ ยอดขายกาแฟ-อุปกรณ์พุ่งกว่า 300 ล้านบาท ปี 2564 เร่งต่อยอดสู่สินค้า “ขนม-อาหาร-ซอส-ถ่าน-กระถางต้นไม้-เครื่องดนตรีวิทยาศาสตร์” รวมถึงผลิตภัณฑ์สุขภาพ ทั้งโลชั่น-ครีมกันแดด-เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ พร้อมผลักดันธุรกิจก้าวเข้าสู่ยุค Circular Eco System

นางสาวนฤมล ทักษอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮิลล์คอฟฟ์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกาแฟครบวงจรภายใต้แบรนด์ “HILLKOFF” รายใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ปี 2563 ที่ผ่านมา

บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายกาแฟและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับกาแฟ รวมถึงสินค้ากลุ่มอาหาร-เครื่องดื่มอื่น ๆ รวมกว่า 300 ล้านบาท โดยปี 2564 บริษัทยังคงเดินหน้าการผลิตกาแฟภายใต้แบรนด์“HILLKOFF” รวมถึงการผลิตในรูปแบบ OEM ซึ่งมีฐานลูกค้าหลักอยู่ทั่วประเทศ

ขณะเดียวกัน ในปีนี้ก็จะต่อยอดธุรกิจกาแฟไปสู่ไลน์สินค้าอื่น ๆ โดยนำกาแฟเข้าไปอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ เช่น ขนม อาหาร ซอส ถ่าน กระถางต้นไม้ เครื่องดนตรีวิทยาศาสตร์ รวมถึงจะต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาทิ โลชั่น ครีมกันแดด เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ไซเดอร์พร้อมดื่ม เป็นต้น

ทั้งนี้ บริษัทมองถึงการเฟ้นหาประโยชน์ของกาแฟที่เป็นมากกว่าเครื่องดื่มในถ้วย และค้นพบคุณค่าจากทุกส่วนของกาแฟ และใช้อย่างคุ้มค่าโดยไม่เหลือส่วนใดทิ้งไว้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ อุตสาหกรรมกาแฟจะต้องไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม

ป่าจะต้องไม่ถูกทำลาย การเติบโตของ Hillkoff จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างสุดความสามารถ โดยการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทใช้ระบบการจัดซื้อแบบไดเร็กต์เทรด (direct trade) มาตั้งแต่รุ่นบุกเบิก โรงคั่วกาแฟจะรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรโดยตรง

ขณะเดียวกัน ได้พลิก “ความเสี่ยง” ให้เป็นโอกาส โดยการนำวิทยาศาสตร์มาหลอมรวมกับธรรมชาติ จนพบว่าเปลือกสีแดง ๆ (coffee pulp) เป็นชาเชอรี่ที่มีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบในแมคโครฟาจและการดื้อต่ออินซูลินในไขมันได้ ซึ่งจะนำไปสู่การต่อยอดผลิตภัณฑ์สุขภาพอีกหลายชนิดของบริษัทในอนาคต

นางสาวนฤมลกล่าวต่อว่า ผลกระทบจากหมอกควัน PM 2.5 ยังคงเป็นปัญหาใหญ่อย่างต่อเนื่อง การตัดไม้ทำลายป่าและการเผาเศษวัชพืช ต้นไม้ รวมทั้งเศษพืชจากการทำการเกษตรต่าง ๆ ล้วนเป็นสาเหตุจากการทำการเกษตรของเกษตรกรบนพื้นที่สูง

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฮิลล์คอฟฟ์ได้ผลักดันและพัฒนาโครงการ “No Burn, Grow Coffee” รณรงค์ให้เกษตรกรเลิกปลูกพืชอุตสาหกรรมอายุสั้นที่ทำลายป่าและหน้าดิน หันมาปลูกกาแฟเป็นการทดแทน และปลูกกาแฟแบบ “วนเกษตร” โดยปล่อยให้ต้นไม้สูงให้ร่มเงา โอบล้อมต้นกาแฟเอาไว้

ทำให้บนดอยยังมีป่าที่จะเป็นบ้านของสัตว์น้อยใหญ่ และหล่อเลี้ยงผู้คนในละแวกได้อย่างอุดมสมบูรณ์ในการอนุรักษ์ดินและน้ำ อีกทั้งยังยึดหลัก Zero Waste โดยพยายามใช้ทรัพยากรทุกอย่างให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด

นางสาวนฤมลกล่าวว่า ตลาดกาแฟไทยปี 2563 มีมูลค่ารวมกว่า 60,000 ล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน Hillkoff ยังคงต้องปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยผลักดันตัวเองก้าวเข้าสู่ยุคธุรกิจแบบ Circular Eco System

โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษา นักวิจัย และองค์กรด้านนวัตกรรม เรากำลังเดินหน้าไปพร้อม ๆ กับเป้าหมายของภาครัฐที่กำลังส่งเสริมให้ธุรกิจต่าง ๆ ภายใต้แนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy)