CRC เด้งรับสัญญาณบวก สปีดเปิดสาขา ชู “ท็อปส์-ไทวัสดุ” หัวหอก

เซ็นทรัล รีเทล

“เซ็นทรัล รีเทล” เด้งรับสัญญาณบวก โควิดซา-นักท่องเที่ยวต่างชาติดีดกลับ ประกาศเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง เร่งขยายสาขา “ฟู้ด-ฮาร์ดไลน์” ชู “ท็อปส์-ไทวัสดุ” หัวหอกสร้างรายได้ พร้อมทยอยนำร้านค้าฟอร์แมตใหม่ “ท็อป คลับ-โก” ลงสนาม มั่นใจสิ้นปีโต 20% ขณะที่ห้างเซ็นทรัล-โรบินสัน ผนึกกำลัง ทุ่ม 250 ล้าน กระหน่ำแคมเปญยาว 4 เดือน หวังปลุกจับจ่ายช่วงปลายปี

จากสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลาย เป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้สถานการณ์ธุรกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง ประกอบกับการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นจากกการผ่อนคลายมาตรการจํากัดการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของซีอาร์ซี ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่ยังเดินหน้าลงทุนตามแผน โดยมีการเปิดสาขาใหม่ ปรับปรุงสาขาอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งมีการผลักดันยอดขายผ่านช่องทาง omnichannel เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นถึง 22.5% หรือ 56,826 ล้านบาท ขณะที่กําไรสุทธิ 1,605 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 476% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

มั่นใจสิ้นปีโตไม่ต่ำกว่า 20%

นายไท จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือซีอาร์ซี กล่าวในงาน Opportunity Day (30 ส.ค.) โดยย้ำว่า ตามแผนปีนี้บริษัทจะมีการลงทุนขยายงานค่อนข้างมาก

นอกจากการขยายงาน บริษัทก็มีการคอนโทรลคอสต์ได้ดีมาก ซึ่งเป็นการเรียนรู้จากช่วงโควิด-19 และนำมาใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วงนี้ภาพรวมของเศรษฐกิจยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่หลายเรื่องทั้ง ราคาน้ำมัน ค่าเอฟที เป็นต้น

โดยบริษัทจะให้ความสำคัญกับการคอนโทรลใน 3 เรื่อง หลัก ๆ คือ การบริหาร growth profit margin การบริการสต๊อกสินค้า ที่จะมีการเลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และ 3 แคปิตอล สตรักเจอร์ ที่แข็งแกร่งของบริษัท

รองประธานฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล ระบุว่า ปีนี้ ซีอาร์ซี มี 6 ข้อใหญ่ ๆ ที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในภาพรวมของบริษัท คือ 1.สินค้ากลุ่มแฟชั่น ที่ปีนี้มีการรีคัฟเวอร์ได้ดีมาก ๆ เพราะคนเริ่มเดินในห้างมากขึ้น ออฟไลน์โตขึ้น มีการปรับปรุงศูนย์การค้า และถือว่ามีโอกาสดีมากในช่วงครึ่งปีหลัง หากนักท่องเที่ยวกลับเข้ามามากขึ้น

2.กลุ่มฟู้ด ซึ่งมีการเติบโตที่ดี ที่ผ่านมาเปิดไปแล้วกว่า 40 กว่า และรวมถึงฟอร์แมตใหม่ ๆ 3.hardline โดยเฉพาะ ไทวัสดุ ที่ผ่านมา มีการขยายสาขา 4-5 สาขาต่อปี

แต่ปีนี้จะเปิด 9-10 สาขา ซึ่งตรงนี้จะทำให้ยอดขายมีตัวเลขเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก และ 4.กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ หรือศูนย์การค้า ปีนี้เปิด 3 สาขา ปรับปรุง 2 สาขา ปีหน้าจะเปิด 3 สาขา และ 5.ธุรกิจเวียดนาม ที่ 70-80% คืออาหาร ซึ่งมีการเติบโตที่ดีมาก และปีนี้จะเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตเพิ่ม 6-7 สาขา และ 6.ออนไลน์ ออมนิแชนเนล ที่มีดับเบิลดิจิตโกรธ ปลายปีนี้ เราจะเปลี่ยนระบบจาก 1.0 เป็น 2.0 จะลอนช์ภายในในเดือนธันวาคม

“อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังก็ยังมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญ และต่อไปในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า เป็นเรื่องค่าพลังงานที่ยังสูงอยู่ และจะสูงขึ้น ด้วยค่าไฟฟ้า เดือนหน้าจะปรับขึ้นและเงินเฟ้อ ทำให้สินค้า การก่อสร้าง และดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่เราก็มีแผนงานที่เตรียมพร้อมเพื่อจะสร้างการเติบโตให้บริษัท ซึ่งคาดว่าครึ่งปีหลังการเติบโตจะดีขึ้นอีก เพราะไตรมาส 3 ปีที่แล้วไม่ค่อยจะดี เพราะมีการปิดสาขาทั้งในไทยและเวียดนาม ส่วนไตรมาส 3-4 ปีนี้น่าจะดีขึ้นมาก จากการมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่กลับมา ถ้าดูทั้งปียอดขายน่าจะโตไม่ต่ำกว่า 20%”

Go power

กางแผนปูพรมสาขา

นางรังสิรัชต์ พรสุธี Head of Inverstor Relationship and Risk Management บริษัท เซ็นทรัล รีเทลฯ ให้ข้อมูลการขยายธุรกิจในประเทศไทยช่วงจากนี้ไปว่า หลัก ๆ จะมุ่งไปที่กลุ่มฮาร์ดไลน์ ทั้งไทวัสดุ และ BnB home ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าจะเปิดเพิ่ม 10 สาขา จากช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาที่เปิดไป 3 สาขา และเพิ่งเปิดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอีก 1 แห่ง จะทำให้กลุ่มฮาร์ดไลน์มีสาขารวม 75 แห่ง ใน 42 จังหวัด

และอีกกลุ่มหนึ่งที่จะเร่งมากขึ้น คือ กลุ่มอาหาร ที่จะมีท็อปส์ทั้ง 3 แบรนด์เป็นหัวหอก คือ ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ และท็อปส์ เดลี่ ที่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเปิดไปแล้ว 14 สาขา และจากนี้ไปตั้งเป้าจะเปิดเพิ่มอีก 20-25 สาขา

โดยจะมีท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ เป็นไฮไลต์ จากเดิมที่ส่วนใหญ่จะเปิดในห้าง หรือศูนย์การค้า จากนี้ไปจะการเปิดเป็นสแตนด์อะโลน ที่จะขยายไปตามคอมมิวนิตี้มอลล์ ที่ผ่านมาทดลองเปิดไปแล้ว 32 สาขา จากนี้จะเปิดเพิ่มอีก 2 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

นอกจากนี้ ยังได้พัฒนารูปแบบร้านโมเดลใหม่ระบบสมาชิก ภายใต้ชื่อ Tops CLUB ที่รวบรวมสินค้านำเข้าและสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์ดังจากทั่วโลกกว่า 3,500 รายการ มากกว่า 70% เป็นสินค้านำเข้า อาทิ จากสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น มีครบทุกกลุ่มสินค้าได้แก่ อาหารสด, อาหารแห้ง, ขนมขบเคี้ยว, ของใช้ภายในบ้าน, ของตกแต่งบ้าน, ของเล่น, อุปกรณ์สนาม-แคมปิ้ง และอุปกรณ์กีฬา ฯลฯ

โดย Tops CLUB แฟลกชิปสโตร์ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการสาขาแรก ปลายเดือนกันยายนนี้ โดยจะเน้นจับกลุ่ม B2C ที่เป็นคนรุ่นใหม่ และกลุ่มครอบครัว และอีกส่วนจะเน้นเจาะกลุ่ม B2B มีแผนจะเปิดสาขาแรกที่พระราม 2 ปลายเดือนกันยายนนี้

“อีกหนึ่งฟอร์แมต เรามีแบรนด์ Go ที่เปิดในเวียดนาม และนำมาเปิดที่ไทย คล้ายคอมมิวนิตี้มอลล์ โดยได้เริ่มลอนช์ไปแล้ว ประกอบด้วย 5 โมเดล คือ Go! hypermarket, Go! Sunday Playland, Go! & Joy foodcourt, Go! WoW และ Go! Power ซึ่งจะเน้นการเปิดในต่างจังหวัด ปีนี้เปิดไปแล้ว 1 แห่ง ที่นครศรีธรรมราช เมื่อเดือนสิงหาคม และกำลังทยอยเปิดอีก 4 สาขา โดยเฉพาะ Go! WoW และ Go! Power”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากธุรกิจในกลุ่ม food และ hardline อย่างต่อเนื่อง ซีอาร์ซีได้เร่งขยายกลุ่มธุรกิจใหม่ health & wellness อาทิ Tops Vita ร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพ โดยเน้นวิตามินและอาหารเสริม และ Tops Care ร้านจําหน่ายยา เวชภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ปัจจุบัน Tops Vita มีประมาณ 12 สาขา และ Tops Care 4 สาขา

ทุ่ม 250 ล้านอัดแคมเปญปลายปี

นางสาวรวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด และบริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า หลังจากวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติมากขึ้น

ประกอบกับการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเริ่มทยอยกลับเข้ามา โดยเฉพาะรัสเซียและอินเดีย ที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ส่งผลให้ทราฟฟิกห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯกลับมาเติบโต 100% กลุ่มสินค้าเริ่มกลับมาเติบโต ได้แก่ กลุ่มบิวตี้ แฟชั่น และนาฬิกา ขณะที่ต่างจังหวัดยังไม่กลับมา 100%

จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ในเครือเซ็นทรัลรีเทล ได้เพิ่มน้ำหนักการทำตลาดมากขึ้น ด้วยการผนึก ห้างโรบินสัน และ Central App ส่งกลยุทธ์ “Together is Better Than One” จัดกิจกรรมการตลาด

โดยสานต่อจากความสำเร็จแคมเปญ Double Digits ที่ผ่านมา วางงบฯลงทุนไว้ 250 ล้านบาท เพื่อใช้จัดโปรโมชั่นเลขเบิล ในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี ได้แก่ 9 เดือน 9 ช้อปฟิน วินทุกดีล, 10 เดือน 10 ช้อปชิล ดีลชนะเลิศ, 11 เดือน 11 โปรแรงแซงทุกดีล และ 12 เดือน 12 ช้อปเด่นให้เป็นแชมป์ โดยได้จับมือกับซัพพลายเออร์ นำสินค้าทุกเซ็กเมนต์เข้ามาลดราคา

รวมถึงการเตรียมอีเวนต์ต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี อาทิ เซ็นทรัล ฉลองครบรอบ 75 ปี, MIDNIGHT SALE ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้ง CENTRAL APP ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิก 52 ล้านคน โดยมีทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ โดยได้นำระบบซีอาร์เอ็ม โปรแกรมเพื่อกระตุ้นลูกค้าให้กลับมาใช้งานต่อเนื่อง

“แม้สถานการณ์กลับมาปกติแล้ว ช่องทางออนไลน์ยังมีอัตราการเติบโตขึ้น โดยจะมีลูกค้าบางส่วนที่กลับมาซื้อของในห้างอยู่บ้าง เพื่อต้องการทดลองสินค้า แต่บางกลุ่มก็กลับไปซื้อผ่านออนไลน์เหมือนเดิม ทั้งนี้ คาดว่าสิ้นปี 2565 ภาพรวมยอดขายจะกลับมาเทียบเท่ากับปี 2019 โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของการจับจ่ายโดยตั้งเป้าการเติบโตเป็นดับเบิลดิจิต ปี 2565 อยู่ที่ 15% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่เติบโตอยู่ที่ 10%”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซีอาร์ซีได้ประกาศแผนการขับเคลื่อนธุรกิจครั้งใหญ่ ด้วยยุทธศาสตร์ CRC Retailligence เพื่อการก้าวสู่การเป็นค้าปลีกหมายเลข 1 ในภูมิภาคเอเชีย โดยมีการประกาศแผนงาน 5 ปี (2565-2569) ที่จะใช้งบประมาณถึง 1 แสนล้านบาท ในการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ รวมทั้งการขยายในทุกโมเดล ทั้งการสร้างขึ้นมาเอง การร่วมทุนและการซื้อกิจการ

เบื้องต้น แบ่งเป็นงบประมาณลงทุน 70,000 ล้านบาทสำหรับการขยายสาขารูปแบบออฟไลน์และรีโนเวตสาขาเดิม ส่วนงบฯอีก 30,000 ล้านบาท จะเป็นการลงทุนด้านเทคโนโลยี ไอที ซอฟต์แวร์ รวมทั้งฟินเทคต่าง ๆ