แอลจี โหม B2B ขนแท่นชาร์จ EV-หุ่นยนต์ชิงตลาด

แอลจี

“แอลจี” เพิ่มเข้มแผนชิงลูกค้าองค์กร ขยายไลน์อัพรุกวงการแท่นชาร์จ EV-หุ่นยนต์บริการ พร้อมผนึกทรูเปิดศูนย์โชว์นวัตกรรม-โซลูชั่นใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หวังสร้างความเชื่อมั่นชิงลูกค้าองค์กร หลังเห็นสัญญาณหลากธุรกิจทั้งค้าปลีก โรงแรม โรงพยาบาล ฯลฯ แห่ลงทุน มั่นใจยอดขาย B2B ปี’66 โต 200%

นางจีรภา คงสว่างวงศา รองประธานบริหารฝ่ายธุรกิจกลุ่มลูกค้าองค์กรและไอที ภาคพื้นอินโดไชน่า บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปี 2566 นี้จะเพิ่มความเข้มข้นของการทำตลาดลูกค้าองค์กร หรือ B2B มากขึ้น ทั้งด้านการปรับโครงสร้างองค์กร การลงทุนทำตลาด และไลน์อัพสินค้าที่จะนำเข้ามาหลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากด้านจอแสดงผลที่เป็นสินค้าหลักเดิมเพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าในหลายธุรกิจยิ่งขึ้น

เนื่องจากเห็นสัญญาณบวกชัดเจนตั้งแต่ปลายปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งภาคเอกชนในหลายวงการกลับมาลงทุนกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นวงการค้าปลีกและองค์กรธุรกิจอย่างห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานที่รีโนเวตสาขามุ่งสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งและตอบโจทย์ลูกค้า เพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน อีกทั้งยังมีการขยายธุรกิจอย่างปั๊มน้ำมันที่หันมาทำค้าปลีก

ขณะที่กลุ่มโรงแรมและโรงพยาบาลต่างเดินหน้าอัพเกรดห้องพัก และอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อชิงนักท่องเที่ยวและผู้ป่วยต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามาตามการเปิดประเทศ

เช่นเดียวกับภาคอสังหาฯ ซึ่งต้องการนวัตกรรมใหม่ ๆ มาเป็นจุดขายของโครงการของตนที่กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง ไปจนถึงการศึกษาและหน่วยงานรัฐที่อัพเกรดตัวเองตามนโยบายไทยแลนด์ 5.0

ทั้งนี้ สะท้อนจากยอดขายของแอลจีในปี 2565 ซึ่งจอแสดงผลเชิงพาณิชย์โต 44% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสินค้าที่ทำยอดขายโดดเด่น ได้แก่ จอแสดงผล LED signage มียอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 2,000% ตามด้วยระบบทีวีเชิงพาณิชย์ ซึ่งรวมถึงกลุ่มธุรกิจโรงแรม โรงพยาบาล อาคารที่พักอาศัย และการศึกษา มียอดขายเพิ่มขึ้น 44%

“ความเคลื่อนไหวในวงการค้าปลีก-อาคารสำนักงานนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นกระแสแข่งสร้างแลนด์มาร์ก ที่แต่ละรายพยายามอัพเกรดสาขา-อาคารของตัวเองให้โดดเด่นที่สุดในย่านนั้น ๆ ซึ่งเชื่อว่าปีนี้จะได้เห็นอีกหลายโครงการ”

กระแสนี้ทำให้มีดีมานด์สินค้าหลากหลายทั้งจอแสดงผลสำหรับงานโฆษณา สำนักงาน ที่พักอาศัย การแพทย์ รวมถึงหุ่นยนต์สำหรับงานบริการในโรงแรมหรือโรงพยาบาล และแท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จึงเป็นโอกาสสำคัญที่บริษัทซึ่งมีไลน์อัพสินค้า โซลูชั่นและความเชื่อมั่นในแบรนด์-สินค้าจากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านจะเข้าตอบโจทย์เหล่านี้และสร้างรายได้

สำหรับยุทธศาสตร์ของแอลจี ในการชิงความได้เปรียบในตลาดลูกค้าองค์กรนั้น นางจีรภาอธิบายว่า จะใช้ “ศูนย์รวมนวัตกรรมและโซลูชั่นทางธุรกิจแบบครบวงจรแอลจี” (LG Business Innovation Center) ที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ ซึ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นฐานหลักสำหรับสร้างการรับรู้และความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ด้วยการเป็นพื้นที่โชว์นวัตกรรมสินค้าและโซลูชั่นสำหรับองค์กรแบบครบครันทั้งกลุ่มจอแสดงผล เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และอื่น ๆ แบบ 24 ชั่วโมง พร้อมทีมพนักงานคอยให้คำปรึกษา

โดยคาดว่าในช่วง 1 ปีแรก ภาคธุรกิจจะนัดหมายเข้าเยี่ยมชมและรับคำปรึกษาด้านธุรกิจศูนย์แห่งนี้ประมาณ 2,000 ราย

“การโชว์นวัตกรรมและโซลูชั่นไม่ได้จำกัดเพียงในศูนย์ แต่ยังรวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ภายในอาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ด้วย เพื่อสะท้อนการใช้งานจริง เช่น จอโฆษณาแบบโค้งรอบเสาความสูงเท่าตึก 3 ชั้น หรือจอบนเพดานชั้น 3 ของอาคาร”

โดยมีสินค้าไฮไลต์ อาทิ จอแสดงผลเชิงพาณิชย์ชนิดโปร่งแสง (transparent OLED) สำหรับติดหน้าต่างยานพาหนะ-อาคาร, จอ LED ขนาด 136 นิ้ว สำหรับห้องประชุมขนาดใหญ่ จอสำหรับอ่านผลเอกซเรย์จอ Micro LED ขนาด 136 นิ้วสำหรับครัวเรือน รวมถึงจอแอลอีดีแบบโค้งซึ่งสามารถสั่งผลิตแบบคัสตอมเมดตามการใช้งาน เป็นต้น

พร้อมกันนี้จะเพิ่มไลน์สินค้าสำหรับลูกค้าองค์กรอีก 2 กลุ่ม คือ แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบชาร์จเร็วซึ่งจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี เพื่อรับกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรงต่อเนื่อง และหุ่นยนต์สำหรับงานบริการในโรงแรม สนามบินหรือโรงพยาบาล ตอบโจทย์ปัญหาขาดแคลนแรงงานในวงการท่องเที่ยวและสุขภาพ โดยสินค้าทั้ง 2 ตัวต่างประสบความสำเร็จจากการใช้งานในเกาหลีใต้ อย่างโรงแรมเครือแมริออต และสนามบินอินชอนมาแล้ว

นอกจากนี้ยังปรับโครงการองค์กร รวมทีมงานจากสินค้าพาณิชย์ต่าง ๆ เข้าเป็นทีมเดียวกัน ทำให้ได้ทีมขนาดกว่า 50 คน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขายสินค้า-โซลูชั่น รวมถึงตั้งแพลตฟอร์ม EPP สำหรับให้พนักงานในองค์กรของลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าแอลจีได้ในราคาพิเศษอีกด้วย

ทั้งนี้ นางจีรภาย้ำว่า ด้วยยุทธศาสตร์ ทัพสินค้าใหม่และศูนย์รวมนวัตกรรมและโซลูชั่นฯ จะผลักดันให้ยอดขายฝั่งธุรกิจ B2B เติบโตได้ถึง 200% เมื่อเทียบกับปี 2565