
ไทยเบฟ ย้ำ ESG ไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นเรื่องจำเป็น หลังวิกฤตโลกร้อนชัดเจน เดินหน้าจับมือคู่ค้า-ซัพพลายเออร์ปั้นโซลูชั่นรักษ์โลก
วันที่ 25 กรกฎาคม 2566 นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ กล่าวในงานสัมมนา ESG : Game Changer #เปลี่ยนให้ทันโลก ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจว่า การทำ ESG ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น เพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่เห็นได้ชัดทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นความร้อนทะลุ 45 องศาเซลเซียสในฝั่งโลกตะวันตก ฝนตกหนักผิดปกติในฝั่งตะวันออก ฯลฯ
- ครม.เคาะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ 10% เริ่มงวดแรกปี 2567
- คลังดึงออมสิน ช่วยแก้หนี้นอกระบบ พร้อมปล่อยกู้ 5 หมื่นบาทต่อราย
- เปิดอัตราเงินเดือนข้าราชการใหม่ ได้ขึ้นทุกคุณวุฒิ “ปวช.ปริญญาตรี-เอก”
อย่างไรก็ตาม การทำ ESG นั้นมีความท้าทายหลายด้านทั้งปัจจัยภายในและภายนอก อย่างการบริหารจัดการทั้งใน-นอกองค์กร การระบาดของโควิด-19 ฯลฯ สะท้อนจากที่ประชาคมโลกพยายามลดเป้าควบคุมการเพิ่มของอุณหภูมิเฉลี่ยลงตั้งแต่ 2 องศา เป็น 1.5 องศา จนปัจจุบันอยู่ที่ 1 องศา ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะสามารถบรรลุเป้าได้หรือไม่
แต่แม้จะท้าทายก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำให้ได้ เพราะอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นนี้เหมือนมนุษย์ที่เป็นไข้ อุณหภูมิเพิ่มจาก 37 องศาเซลเซียส เป็น 39 องศาเซลเซียส ก็วิกฤตมากแล้ว
สำหรับแนวทางของไทยเบฟนั้นรับมือความท้าทายในการทำ ESG ด้วยการปรับการตีความ ESG จากสิ่งแวดล้อม สังคมและการบริหารจัดการ เป็น สิ่งแวดล้อม คน และการบริหารจัดการ เนื่องจากการทำเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้นต้องเริ่มจากบุคคลแต่ละคนช่วยเหลือกัน กลับกันหากแต่ละคนปล่อยให้คนอื่นหรือระดับองค์กรทำคงไม่อาจสำเร็จได้
พร้อมกับสร้างโครงการ ESG ต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์การทำเพื่อสังคมและส่วนรวม ไม่ใช่เพียงธุรกิจหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งเท่านั้น ตามแนวคิด สังคมอยู่ได้ เราก็อยู่ได้ ตัวอย่างเช่น การดูแลคุณแหล่งน้ำในภาพรวมที่มากกว่าเพียงไม่ปล่อยน้ำเสีย การส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ต่าง ๆ การขยายพอร์ตสินค้าเครื่องดื่มสุขภาพ-ไร้น้ำตาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้คนในสังคม เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทเดินสายสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในซัพพลายเชนของธุรกิจเครื่องดื่มตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ ซัพพลายเออร์และอื่น ๆ เพื่อพัฒนาโซลูชั่นต่าง ๆ ทั้งรถไฟฟ้า รถไร้คนขับ เป็นต้น ซึ่งขณะเดียวกันบริษัทเร่งพัฒนาทักษะบุคลากรที่เกี่ยวข้องอย่าง พนักงานขับรถให้พร้อมกับงานในส่วนอื่นแทนด้วย
รวมถึงตั้งเป้าหมายด้าน ESG เช่น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็น 0 และคืนน้ำสู่ธรรมชาติและชุมชนให้ได้ 100% ภายในปี 2583 ขณะที่ 80% ของยอดขายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ต้องมาจากเครื่องดื่มสุขภาพภายในปี 2573 รวมถึง 100% ของคู่ค้ากลุ่มกลยุทธ์ต้องจัดทำและบังคับใช้จรรยาบรรณสำหรับคู่ค้าของตนเอง เป็นต้น
ทั้งนี้ เชื่อว่า ESG น่าจะสามารถผลักดันการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจไปพร้อมกับสร้างโลกที่น่าอยู่ได้แน่นอน