ไม่ได้มีดีแค่อาหารราคาถูก “จีน” ครองเบอร์ 1 แหล่งไข่ปลาคาเวียร์

caviar
คอลัมน์ : Market Move

หากพูดถึงวัตถุดิบอาหารที่จีนผลิตได้นั้น ผู้คนมักนึกถึงพืชผัก ผลไม้หรือเนื้อหมู แต่ขณะนี้ จีนได้กลายเป็นฐานการผลิตหลักของ “ไข่ปลาคาเวียร์” หนึ่งในอาหารหรูราคาแพงเทียบชั้นเห็ดทรัฟเฟิล และฟัวกราแล้ว ด้วยการครองสัดส่วนการผลิตไข่ปลาคาเวียร์มากกว่าครึ่งหนึ่งของโลก

สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า ปัจจุบันจีนเป็นฐานผลิตไข่ปลาคาเวียร์อันดับ 1 ของโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดในสัดส่วนมากถึง 60% ของโลก โดยมีฐานการผลิตหลักอยู่ในเมืองหย่าอัน (Yaan) มณฑลเสฉวน ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของที่ราบสูงทิเบต และเป็นสถานที่เดียวกับแหล่งอาศัยหลักของเหล่าหมีแพนด้า

โดยปัจจัยสำคัญที่หนุนให้จีนแผ่นดินใหญ่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตไข่ปลาคาเวียร์อันดับ 1 ของโลกแทนที่เจ้าตลาดเดิมอย่างรัสเซียนั้น เป็นผลมาจากอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (The Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora : CITES) หรือ “อนุสัญญาวอชิงตัน”

ซึ่งจำกัดการจับและค้าขายปลาสเตอร์เจียน รวมถึงไข่ปลาคาเวียร์ระหว่างประเทศ เช่น การส่งออกจากรัสเซียที่เป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ตั้งแต่ปี 2006 หลังความต้องการไข่ปลาคาเวียร์ที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ปลาสเตอร์เจียนในแหล่งธรรมชาติอย่าง ทะเลแคสเปียน ทะเลปิดที่อยู่ระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปยุโรปมีเนื้อที่ผิวน้ำประมาณ 371,000 ตร.กม. อยู่ในสภาวะเสี่ยงจะสูญพันธุ์

ด้วยเหตุนี้ ปลาสเตอร์เจียนจากฟาร์มในจีนจึงทวีความสำคัญ เนื่องจากไข่ปลาคาเวียร์ที่ผลิตจากปลาเลี้ยงเหล่านี้ไม่เพียงจะราคาจับต้องง่าย แต่ยังมีคุณภาพที่สม่ำเสมอกว่าไข่ของปลาที่จับได้ตามธรรมชาติอีกด้วย ส่งผลให้จีนก้าวเข้าเป็นผู้เล่นรายหลักในตลาดไข่ปลาคาเวียร์โลก

สอดคล้องกับข้อมูลของ อีควอลโอเชี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล (EqualOcean International) บริษัทวิจัยการลงทุน ที่ระบุว่า ฐานการผลิตไข่ปลาคาเวียร์หลัก ๆ ในจีนมีอยู่ 2 แห่ง คือ เมืองหย่าอัน มณฑลเสฉวน และภูมิภาคฉูโจว มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งครองสัดส่วน 12% ของปริมาณการผลิตไข่ปลาคาเวียร์ทั่วโลก

ADVERTISMENT

โดยตั้งแต่ปี 2010 ปริมาณการส่งออกไข่ปลาคาเวียร์ของจีนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถกลายเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 ได้ในปัจจุบัน และมีการส่งออกไปยัง 20 ประเทศทั่วโลก อาทิ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, ลักเซมเบิร์ก, สเปน, สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น

หนึ่งในผู้ผลิตไข่ปลาคาเวียร์สัญชาติจีนรายใหญ่คือ บริษัทประมง เสฉวน รุนเจ้า (Sichuan Runzhao Fisheries) ซึ่งมีบ่อเลี้ยงปลาสเตอร์เจียนสายพันธุ์ต่าง ๆ จำนวนมากกว่า 700,000 ตัว ในบ่อเลี้ยง 274 บ่อ บนพื้นที่ 150,000 ตารางเมตร พร้อมด้วยโรงงานแปรรูปที่หมักไข่ปลาสเตอร์เจียนด้วยเกลือนำเข้าจากยุโรปให้กลายเป็นไข่ปลาคาเวียร์

ADVERTISMENT

โรงงานแห่งนี้สามารถผลิตไข่ปลาคาเวียร์บรรจุกระป๋องได้ประมาณ 60 ตันต่อปี และส่งออกไปยัง 30 ประเทศทั่วโลก ทำให้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดไข่ปลา
คาเวียร์โลกถึง 10%

ยุโรปเป็นหนึ่งในภูมิภาคแรก ๆ ที่นำเข้าไข่ปลาคาเวียร์จากจีน ก่อนจะขยายตลาดออกไปทั่วโลก โดยมีการใช้เป็นวัตถุดิบในภัตตาคารหรูหลายแห่ง อาทิ เดอะฮอลล์ (The Hall) ภัตตาคารที่บริหารโดยหลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) แบรนด์สินค้าลักเซอรี่สัญชาติฝรั่งเศส และ ฌอง-จอร์จ (Jean-Georges) ภัตตาคารสัญชาติฝรั่งเศสที่มีสาขาในเมืองใหญ่ทั่วโลก ใช้ไข่ปลาคาเวียร์จากจีนในเมนูซิกเนเจอร์ ไข่คนคาเวียร์ (Scrambled Eggs Caviar) รวมถึง เบตโตลา ดา โอชิไอ ภัตตาคารหรูในกรุงโตเกียว ของญี่ปุ่น

สึโตมุ โอชิไอ เจ้าของ และเชฟ ของเบตโตลา ดา โอชิไอ กล่าวว่า ทางร้านเลือกใช้ไข่ปลาคาเวียร์จากบริษัทประมง เสฉวน รุนเจ้า เป็นหลัก เนื่องจากความเสถียรของคุณภาพ และรสสัมผัสเมื่อทาน

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงศักยภาพการผลิตของจีนที่ไม่จำกัดอยู่เพียงวัตถุดิบอาหารทั่ว ๆ ไป รวมถึงยังมีกำลังผลิตสูงจนสามารถแซงคู่แข่งขึ้นแท่นเบอร์ 1 ของโลกได้ด้วย ซึ่งต้องจับตาดูกันว่าจีนจะชิงตำแหน่งแหล่งผลิตวัตถุดิบอาหารหรูประเภทอื่น ๆ มาครองเพิ่มอีกหรือไม่