บิ๊กโคล่า คัมแบ็ค ผนึก “แมนฯ ซิตี้” ชิง Top 3 ตลาดน้ำอัดลมไทย-อินโดฯ

บิ๊กโคล่า

หลังเงียบหายไปนานกว่า 13 ปี “บิ๊กโคล่า” ประกาศแผนบุกตลาดไทย-อินโดนีเซีย ทุ่มงบ 100 ล้านบาท มุ่งทำการตลาดเชิงรุก พร้อมดึง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” สโมสรฟุตบอลชั้นนำของอังกฤษ เป็น Official Regional Partner หวังขยายฐานแฟนคลับ-เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ ตั้งเป้าภายใน 3-5 ปี ขึ้น Top 3 ในตลาดน้ำอัดลมไทย-อินโดฯ ขณะที่สิ้นปีตั้งเป้ารายได้แตะ 4,500 ล้านบาท

นายฮวน โฆเซ่ โลเปซ เวอการ่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม “บิ๊กโคล่า” เปิดเผยว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญ ที่บริษัทแม่ “AJE Group” จากเปรูให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นประเทศแรกที่บริษัทขยายการลงทุนนอกละตินอเมริกา และเคยประสบความสำเร็จสูงในช่วงแรกของการทำตลาด

“ซึ่งตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา บิ๊กโคล่าไม่ได้มุ่งเน้นการทำตลาดอย่างจริงจัง เนื่องจากอยู่ระหว่างการพัฒนากระบวนการผลิต และเพิ่มการลงทุนในสายการผลิตต่างๆ รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างภายใน จึงส่งผลให้สัดส่วนมาร์เก็ตแชร์จากเดิมที่อยู่ที่ 12% ลดลงเหลือเพียง 6% เนื่องมาจากตลาดที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น จากการมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาด”

โดยในปี 2567 ตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมมีมูลค่าอยู่ที่ 62,000 กว่าล้านบาท และเติบโต 3% และยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงหน้าขายของเครื่องดื่มน้ำอัดลม

ผนึก “แมนฯ ซิตี้” สร้างเอ็นเกจเมนต์

สำหรับในปี 2568 บิ๊กโคล่า จะกลับมาให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ และกลับมาสร้างตลาดให้คึกคักมากยิ่งขึ้น ด้วยการมุ่งทำตลาดภายใต้กลยุทธ์ Sponsorship Marketing ผ่านการเซ็นสัญญาเป็น Official Regional Partner กับสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” สโมสรแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 4 ฤดูกาลติดต่อกัน โดยมีระยะเวลาสัญญา 2 ปี ในการนำตราสัญลักษณ์สโมสร (CREST) นักฟุตบอล และสิทธิประโยชน์อื่นๆ มาทำกิจกรรมการตลาด

โดยเบื้องต้นบริษัทได้วางงบการตลาดไว้ราว 100 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมทางการตลาดแบบครบวงจร ไม่ว่าจะทั้ง แคมเปญโฆษณา อีเวนท์มาเก็ตติ้ง และโปรโมชั่น ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อให้แบรนด์สามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

ADVERTISMENT

ซึ่งในปีนี้จะประเดิมด้วยแคมเปญ “Big Cola x Manchester City” ลุ้นพาผู้โชคดีบินไปชมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกที่อังกฤษ ซึ่งจะเริ่มต้นในช่วงซัมเมอร์ปีนี้ โดยคาดว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะมาช่วยกระตุ้นยอดขายของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ

“การเป็น Official Regional Partner กับ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการกลับมาทวงส่วนแบ่งตลาดในตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมเมืองไทย รวมถึงยังเป็นคีย์หลักในการขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่ถือเป็นฐานแฟนคลับแมนฯ ซิตี้ อยู่ค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันในไทยมีฐานแฟนคลับสูงถึง 5 ล้านคน ขณะที่อินโดนีเซียมีฐานแฟนคลับสูงถึง 44 ล้านคน”

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ เราจึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างให้แบรนด์บิ๊กโคล่ากลับมาแข็งแรง และขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกับแมนฯซิตี้ ที่ต้องการขยายฐานแฟนคลับ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในอาเซียนได้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กโคล่า

รุกขยายจุดขาย-แตกไลน์สินค้าใหม่

นายชนินทร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมร้านค้าปลีกมากยิ่งขึ้น โดยจะมุ่งเน้นการกระจายสินค้าไปยังร้านอาหาร ร้านขายของชำ และโมเดิร์นเทรดกว่า 600,000 แห่ง ซึ่งปัจจุบันสามารถขยายในช่องทางโมเดิร์นเทรดได้แล้วถึง 90%

รวมไปถึงจะมุ่งเน้นกระจายไปยังช่องทางเทรดดิชั่นนอลเทรดที่มีอยู่ 400,000 แห่งเช่นเดียวกัน โดยในอนาคตตั้งเป้าขยายให้ครอบคลุม 100% จากปัจจุบันขยายไปได้เพียง 60% เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะแตกไลน์สินค้าใน Category อื่นๆ นอกเหนือจากเครื่องดื่มน้ำอัดลมด้วยเช่นกัน โดยที่ผ่านมาก็ได้ลอนช์สินค้าในหมวดหมู่อื่นๆ ออกมามากมาย ไม่ว่าจะทั้ง Big Tea (เครื่องดื่มชา), Volt (เครื่องดื่มชูกำลังอัดแก๊ส), น้ำดื่ม Vida และเร็วๆ นี้จะมีการเปิดตัวกาแฟพร้อมดื่มอีกด้วย 

“การที่เราเพิ่ม Category ใหม่ๆ เข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ ก็เพื่อเป็นการสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัท โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจาก บิ๊กโคล่า ประมาณ 90% และอีก 10% ยังคงเป็นเครื่องดื่มในหมวดอื่นๆ ซึ่งในอนาคตตั้งเป้าอยากที่จะมีสัดส่วนเครื่องดื่มในหมวดอื่นๆ เพิ่มขึ้น 15% และกลายเป็น 20%”

บิ๊กโคล่า
ภาพจากเฟซบุ๊ก Big Cola

สร้างโรงงานรุกธุรกิจ Home Care

นอกจากนี้ บริษัทก็ได้มีการขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยได้เปิดโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในการผลิตผลิตภัณฑ์โฮมแคร์ เช่น น้ำยาซักผ้า และน้ำยาปรับผ้านุ่ม ภายใต้แบรนด์ “Dest” (เดสท์) ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 3 ต่อจากประเทศเอกาดอร์ และเปรู ที่ได้เริ่มทำธุรกิจในกลุ่มนี้ โดยเบื้องต้นได้มีการเริ่มผลิตแล้ว และคาดว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดในช่วงปีนี้

หวังขึ้นแท่น Top 3 ไทย-อินโดฯ

นายชนินทร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ถึงแม้ว่าตลาดน้ำอัดลมจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด สะท้อนจากที่หลายๆ แบรนด์ต่างก็งัดกลยุทธ์การตลาดออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อชิงโอกาสในการดื่ม โดยเฉพาะในเรื่องของราคาและบรรจุภัณฑ์ ที่มีการทำราคาที่ลดลงและมีการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก เพื่อให้สามารถแข่งขันในราคาที่ต่ำลงได้ 

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่เข้มข้นของบริษัท ไม่ว่าจะทั้งการทำแคมเปญร่วมกับแมนฯ ซิตี้ การขยายช่องทางจัดจำหน่าย และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ จึงมั่นใจว่าสิ้นปี 2568 บริษัทจะมีรายได้แตะ 4,500 ล้านบาท จากปีก่อนหน้ามีรายได้อยู่ที่ 3,600 ล้านบาท รวมถึงคาดว่าจะสามารถเพิ่มมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นเป็น 15% และขึ้นเป็น Top 3 ในตลาดน้ำอัดลมไทย และอินโดนีเซียได้ภายใน 3-5 ปี 

“เรามั่นใจได้ว่าการกลับมาของบิ๊กโคล่าในครั้งนี้ จะไม่ใช่เพียงแค่การทำตลาดระยะสั้น แต่จะเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต”

บิ๊กโคล่า