เฮลท์ลีดกางแผนเติบโตปี’65 ชูดาต้าต่อยอดร้านขายยา

ร้านขายยา

เฮลท์ลีดเปิดโรดแมปปี’65 ดึงเทคโนโลยีไอที-ดาต้าเบส ปูพรมขยายสาขาเจาะย่านศักยภาพสูง กทม.ปริมณฑล ชี้ 3 ปี เดินหน้าลุยต่างจังหวัดเขตหัวเมืองใหญ่ พร้อมอินไซต์พฤติกรรมผู้บริโภคเพิ่มสัดส่วนยา อาหารเสริม สินค้าสูงวัย รับเทรนด์ ก่อนต่อยอดวิจัยนวัตกรรมใหม่ดันสินค้ารุกไทย-เทศ ตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%

เภสัชกรธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจเชนร้านขายยาภายใต้แบรนด์ไอแคร์ ฟาร์แมกซ์ ไวตามินคลับ และซูเปอร์ดรัก เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านขายยามีมูลค่าราว 3.5 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 5% จากการเข้าสู่สังคมสูงวัยของประเทศไทย ประกอบกับผลต่อเนื่องของกฎหมายวิธีปฏิบัติทางเภสัชกรรมในปี’62 ที่กำหนดให้ทุกร้านต้องมีเภสัชกรประจำร้านและติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ทำให้ร้านขายยากว่า 5 พันร้านที่ไม่ผ่านเกณฑ์ต้องทยอยปิดตัวลง ส่งผลให้คู่แข่งในตลาดลดลง สวนทางกับภาพรวมของตลาดยาที่เติบโตขึ้น

ทั้งนี้ เพื่อรองรับแนวโน้มดังกล่าวจึงมีแผนสร้างการเติบโตในปี 2565 โดยได้ปรับโครงสร้างใหม่ ตั้งเฮลท์ลีดเป็นบริษัทโฮลดิ้งเข้าถือหุ้นใน 2 ธุรกิจย่อย ได้แก่ บริษัท ไอแคร์ เฮลท์ จำกัด ธุรกิจร้านขายยา อาหารเสริม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และบริษัท เฮลทิเนส จำกัด ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายสินค้านวัตกรรมแบรนด์ Besuto และอาหารเสริม PRIME

พร้อมดึงเทคโนโลยีไอทีเข้ามาส่งเสริมการทำธุรกิจ ผ่านการนำฐานดาต้าเบสร้านยาจาก 26 สาขา วิเคราะห์อินไซต์ผู้บริโภค วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ยาและเวชภัณฑ์ในแต่ละช่วงเวลา เพื่อสร้างความได้เปรียบในแง่การบริหารจัดการการจัดซื้อและสต๊อกสินค้ากว่า 1 หมื่นเอสเคยู ให้รับมือดีมานด์ที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ลดการขาดแคลนยา ตลอดจนตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแต่ละสาขาได้อย่างแม่นยำ

โดยเฉพาะการนำดาต้าเบสมาใช้ในการขยายสาขาสร้างการเติบโตของ 4 เชนร้านยาในเครือ คือ ไอแคร์ ฟาร์แมกซ์ ไวตามินคลับ และซูเปอร์ดรัก ปีละ 5-6 สาขา บนพื้นที่ 80-150 ตร.ม. ซึ่งเป็นแผนหลักในปี 2565 ภายใต้งบฯลงทุนราว 60 ล้านบาท ซึ่งจะนำข้อมูลพฤติกรรมการซื้อสินค้าในร้านขายยาในเครือทั้ง 26 สาขา มาประมวลเพื่อเฟ้นหาทำเลศักยภาพที่เหมาะสมแก่การเปิดหน้าร้านใหม่ที่สร้างยอดขายได้สูง

และจากข้อมูลสะท้อนได้ว่ากลุ่มลูกค้าของเฮลท์ลีดจะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลัก จึงเริ่มขยายสาขาเจาะพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นหลักก่อน โดยจะกระจายรัศมีของร้านขายยาให้อยู่ห่างกันราว 10 กม.ขึ้นไป ขณะเดียวกันในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะเริ่มขยายตัวไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัดตามเขตหัวเมืองใหญ่ซึ่งเป็นตลาดรอง ๆ ลงมา

โดยหากเป็นไอแคร์จะเน้นย่านตลาดและชุมชน ส่วนฟาร์แมกซ์ใช้เจาะย่านธุรกิจกำลังซื้อสูง ขณะที่ซูเปอร์ดรักเป็นแบรนด์ไฟติ้ง เจาะทำเลซื้อสินค้าปริมาณมาก อาทิ หน้าโรงพยาบาล และไวตามินคลับ ชูความเป็นไลฟ์สไตล์ จับคนรุ่นใหม่ จะอยู่ตามคอมมิวนิตี้มอลล์หรือรีเทลเป็นหลัก

นอกจากนี้ ระบบดาต้าเบสยังใช้สำหรับปรับสัดส่วนสินค้าในร้านขายยา โดยจะเน้นไปในเซ็กเมนต์อุปกรณ์ทางการแพทย์และอาหารเสริมมากขึ้น สอดรับสังคมสูงวัยในอนาคต

ขณะเดียวกันได้นำเทคโนโลยีไอทีมาจัดเก็บข้อมูลฐานสมาชิกให้เป็นสัดส่วนผ่านระบบคลาวด์ เพื่อจดจำพฤติกรรมการซื้อสินค้า และการใช้ยาของผู้บริโภคแต่ละคน นำไปสู่การทำ CRM ที่ตรงใจและสร้างแบรนด์ลอยัลตี้ในลูกค้าได้ โดยในปี’65 ตั้งเป้าการเพิ่มฐานสมาชิกเพิ่มขึ้น 3-4 หมื่นคน จากปัจจุบันมีอยู่ราว 2 แสนคน

ควบคู่กันนี้ เฮลท์ลีดยังได้นำอินไซต์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันมาใช้สำหรับพัฒนาอาหารเสริมแบรนด์ PRIME ขณะนี้จะเน้นไปที่กลุ่มบำรุงสายตาและสมอง รับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนิวนอร์มอลที่ต้องทำงานหนักและเผชิญกับแสงจากคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน พร้อมกับต่อยอดวิจัยนวัตกรรมในช่วงโควิด โดยสร้างเจลล้างมือฆ่าเชื้อโควิดขึ้นภายใต้แบรนด์ Besuto รับเทรนด์การใส่ใจสุขอนามัยที่มากขึ้น และในอนาคตยังเตรียมจับมือกับองค์กรอื่น ๆ เพื่อออกสินค้านวัตกรรมเพิ่มเติม

“เป้าหมายระยะสั้นคือการรักษาการเติบโตมากกว่า 10% ขึ้นไป ส่วนเป้าหมายระยะยาวจะเสริมแกร่งบริษัท โดยเพิ่มโฟกัสการพัฒนาสินค้านวัตกรรม เพื่อจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ” เภสัชกรธัชพล กล่าวทิ้งท้าย