ย้อนเวลา บะหมี่ มาม่า ขึ้นราคาครั้งสุดท้ายเมื่อไร ?

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แบรนด์มาม่า ขึ้นราคาครั้งสุดท้ายเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประกาศต้นปี 2565 ว่า จะไม่มีการขึ้นราคา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน

วันที่ 13 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยวานนี้ (12 ม.ค.) ว่า บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ตรา “มาม่า” ยืนยันกับกระทรวงพาณิชย์ว่าจะไม่มีการปรับขึ้นราคามาม่าซอง ซึ่งเป็นสินค้ามวลชน และเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในท้องตลาดทั้งประเทศ เพื่อเป็นการร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชนคนไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน

“ประชาชาติธุรกิจ” พาย้อนเวลาเพื่อหาคำตอบว่า บะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้อดังนี้ ปรับราคาครั้งสุดท้ายเมื่อไร และด้วยสาเหตุอะไร

มาม่าปรับราคาครั้งล่าสุดเมื่อไร

ย้อนไปเมื่อปี 2550 นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ซึ่งขณะนั้นนั่งเก้าอี้ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรสซิเดนท์ ฟูดส์ จำกัด เผยว่า ช่วงไตรมาส 4 ปี 2550 บริษัทจะปรับราคามาม่าทั้งแบบซองและแบบถ้วย (คัพ) เพิ่มอีก 1 บาท โดยให้เหตุผลว่ามาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแป้งสาลี และน้ำมันปาล์ม บริษัทจึงไม่สามารถแบกรับภาระได้อีก แต่เชื่อว่าผู้บริโภคจะเข้าใจ และหากไม่ขึ้นราคาอาจทำให้บริษัทกำไรลดลงมากกว่า 20%

ในเวลานั้น นายพิพัฒ กล่าวด้วยว่า บริษัทไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องปรับราคา หลังจากไม่ได้ปรับเพิ่มราคามาม่ามานานกว่า 10 ปี

ล่าสุด นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการสำนักกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ยืนยันกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า มีการขึ้นราคาขายครั้งล่าสุดเมื่อประมาณปลายปี 2550

“สินค้ามาม่ารสชาติเดิม (หมูสับ-ต้มยำกุ้ง) ราคา 6 บาท ยังยืนพื้นราคาเดิม แต่จะหันมาพัฒนาสินค้ารสชาติใหม่ ในราคาพรีเมี่ยมขึ้น ซึ่งราคามาม่า ราคา 6 บาทมาตั้งแต่ปี 2550 ถ้าตัวเลขยอดขายยังไม่ขาดทุน ยังไปต่อได้” นายพันธ์กล่าวและว่า

“สินค้าหลัก มาม่ารสต้มยำกุ้งหมูสับ กับ รสต้มยำกุ้งน้ำข้น ตัวเลขยังไม่ถึงขั้นติดตัวแดง แต่กำไรหายไปเยอะ ถ้ามองในแง่ของผู้ถือหุ้นอาจไม่ค่อยพอใจ กับกำไรที่หายไป แต่มุมมองของภาครัฐ กำไรหายไป ก็ยังกำไรอยู่ โดยให้เหตุผลว่าราคาวัตถุดิบมีขึ้นมีลง อย่าเพิ่งไปปรับราคาหรือไปลดปริมาณลง เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือก”