ภูมิคุ้มกันวัคซีนทุกสูตร จัดการโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 ได้ดีกว่า BA.1

วัคซีนโมเดอร์นา
FILE PHOTO : Angela Weiss / AFP

สธ.เผยภูมิคุ้มกันจากวัคซีนทุกสูตร จัดการโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 ได้ดีกว่า BA.1 แต่ต้องฉีดเข็มกระตุ้น (เข็ม3 ) เพิ่มจึงจะเห็นผลนี้

วันที่ 12 เมษายน 2565 กระทรวงสาธารณสุข เผย ผลการศึกษาภูมิคุ้มกันจากวัคซีนโควิด 19 พบมีประสิทธิผลต่อเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.2 ดีกว่า BA.1 แสดงถึง BA.2 ไม่ได้หลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนมากอย่างที่กังวล แต่การฉีด 2 เข็มระดับภูมิคุ้มกันยังไม่สูงเพียงพอ ต้องฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่ม ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาทั่วโลก

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ศึกษาผลของภูมิคุ้มกันที่มีต่อไวรัสโควิด 19 ด้วยวิธี Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน ต้องทดสอบภายในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3

โดยนำซีรั่มจากเลือดที่มีภูมิคุ้มกันของผู้รับวัคซีนโควิด 19 แล้ว 2 สัปดาห์ มาสู้กับไวรัส BA.2 ที่เพาะเลี้ยงไว้ และเจือจางซีรั่มในระดับเท่าตัว เพื่อหาจุดที่ไวรัสถูกทำลาย 50% ด้วยแอนติบอดีในซีรั่ม หรือ PRNT50 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7-8 วันจึงทราบผล

ทั้งนี้ จากการตรวจระดับภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อไวรัสทั้งกรณีได้รับวัคซีน 2 เข็ม และ 3 เข็ม พบว่า วัคซีนทุกสูตรให้ระดับภูมิคุ้มกันที่ต่อสู้กับไวรัสโอมิครอน BA.2 ได้มากกว่า BA.1 ดังนั้น ข้อกังวลว่าสายพันธุ์ย่อย BA.2 จะหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้มากกว่าจึงไม่น่าเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีน 2 เข็ม แม้จะเป็นช่วง 2 สัปดาห์หลังฉีด พบว่าภูมิคุ้มกันต่อ BA.2 ไม่ได้สูงมากนัก ดังนั้น ถ้าฉีด 2 เข็มมาแล้วหลายเดือน ภูมิคุ้มกันจะยิ่งน้อยลง แต่เมื่อฉีดกระตุ้นเข็ม 3 พบว่าภูมิคุ้มกันขึ้นในระดับสูงมากต่อไวรัสโอมิครอน BA.2

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงขอแนะนำให้ฉีดเข็มกระตุ้น (booster dose) โดยเร็วในคนที่ได้รับวัคซีนเพียง 2 เข็ม

“ขณะนี้การระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศไทยเป็นสายพันธุ์โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.2 ถึง 95.9% คาดว่าอีก 1-2 สัปดาห์จะมาแทนที่การระบาดของสายพันธุ์ BA.1 เป็น 100% เนื่องจาก BA.2 ความสามารถในการแพร่รวดเร็วกว่า”