“ศรีนานาพรฯ” ชี้เปิดประเทศ-ปรับโควิดสู่โรคประจำถิ่น ดันสัญญาณเศรษฐกิจไตรมาส 2 ฟื้นตัว เร่งปรับพอร์ตปูพรมเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว ทั้งน้ำใบกัญชา สินค้าสแน็ก ตลอดทั้งปี รับดีมานด์ในประเทศ
พร้อมทุ่ม 100 ล้าน ลงทุนเข้าซื้อธุรกิจต่อยอดการเติบโต พร้อมเดินหน้าลุยโรงงานในเวียดนาม-อินโดนีเซีย ลดต้นทุนขนส่งเสริมแกร่งตลาดอาเซียน
นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตขนมขบเคี้ยว อาทิ เจเล่, เบนโตะ, ขนมขาไก่โลตัส, ช๊อคกี้เวเฟอร์ เป็นต้น เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตลอดช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ภาพรวมกำลังซื้อลดลงอย่างชัดเจน จา
กปัจจัยลบหลาย ๆ อย่างที่กระทบเศรษฐกิจและกำลังซื้อ รวมถึงงบประมาณที่รัฐบาลใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับช่วงปลายปีที่ผ่านมาลดน้อยกว่าในอดีต ทำให้ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทเริ่มปรับกลยุทธ์ทางการตลาด ช่องทางการจำหน่าย รวมถึงสินค้า
ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/64 ฟื้นตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว รวมไปถึงตลาดส่งออกในเวียดนามเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ภาพรวมตลอดช่วงในไตรมาส 1/2565 ยังมีการเติบโตตามเป้าที่วางไว้
นอกจากนี้ยังมีการปรับพอร์ตสินค้าเพื่อลดเสี่ยงด้านยอดขาย เน้นการวางจำหน่ายสินค้าแต่ละอย่างในช่องทางที่เหมาะสม เช่น เจเล่ ชิววี่ เยลลี่ผสมบุก จากเดิมที่ผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายในทุกช่องทางเหมือน ๆ กันแต่ปัจจุบันจะมีการผลิตแยกในฟอร์แมตที่แตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสม
แบ่งออกเป็นฟอร์แมตสำหรับช่องทางเทรดิชั่นนอลเทรด และโมเดิร์นเทรด ส่งผลให้ยอดจำหน่ายช่องทางร้านสะดวกซื้อ หนึ่งในช่องทางขายหลักเติบโตเป็นตัวเลข 2
นายวิโรจน์กล่าวว่า สำหรับแผนงานตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป จะโฟกัสการทำตลาดไปที่กลุ่มเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยวเป็นหลัก เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าหลังจากการระบาดของโควิด และเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายโดยจะเห็นสัญญาณบวกในตลาดช่วงไตรมาส 2
โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) อย่างชัดเจน โดยเตรียมจะเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่องทุกไตรมาส อาทิ น้ำใบกัญชา, สแน็ก เป็นต้น ควบคู่กับการทำกิจกรรม ณ จุดขาย เช่น ซื้อ 2 ถึง ลดราคา 2 บาท เพื่อกระตุ้นการซื้อ
“นโยบายการประกาศโควิดเป็นโรคประจำถิ่นและการเปิดร้านอาหารให้ทานได้ถึงเที่ยงคืน จะส่งผลดีกับบริษัทเพราะสินค้าของบริษัทเหมาะแก่การทานเล่น ทำให้คนจะซื้อสินค้าเพื่อไปรับประทาน ทั้งในการท่องเที่ยว รับประทานอาหาร หรือระหว่างเดินทางได้มากขึ้น
และการเปิดประเทศส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามามากขึ้น ส่งผลดีต่อประชาชน และผู้ประกอบการในท้องถิ่น หรือระดับแมส ทำให้มีอาชีพ เศรษฐกิจหมุนเวียนอีกครั้งและทำให้กำลังซื้อกลับมา ซึ่งสินค้าของบริษัทเป็นสินค้า 5 บาท 10 บาท มีฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มนี้อยู่แล้วก็จะได้รับอานิสงส์จากตรงนี้ด้วย”
นายวิโรจน์กล่าวว่า ส่วนแผนการขยายตลาดไปต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ทั้งเวียดนามและอินโดนีเซีย ปีนี้วางแผนการลงทุนไว้ราว 100 ล้านบาท สำหรับการเข้าซื้อหรือจัดตั้งธุรกิจที่เกี่ยวกับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเพื่อต่อยอดธุรกิจ
หลังปีที่ผ่านมาได้เข้าไปลงทุนสร้างโรงงานในเวียดนาม เฟสแรกจะลงทุน 14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 420 ล้านบาท) ซึ่งจะแล้วเสร็จปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 เป็นไลน์การผลิตของสินค้าแบรนด์เจเล่และขนมขบเคี้ยวบางส่วน ซึ่งจะช่วยให้สามารถขยายฐานผู้บริโภค
และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อให้ครอบคุลมตลาดเวียดนามมากขึ้น ก่อนที่จะขยายเฟส 2 ลงทุน 6 ด้านดอลลาร์สหรัฐ (กว่า 180 ล้านบาท)แล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2566 และเฟส 3 แล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2566 และจะทำให้บริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายในเวียดนามครบทุกรายการ
“ที่ผ่านมาเรามีการทำตลาดแบรนด์เจเล่ เบนโตะ ในเวียดนาม ตั้งแต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พอเรามีฐานลูกค้าที่แน่นและแข็งแกร่งในตลาดแล้ว เราก็เริ่มเข้าไปลงทุน และแม้การแพร่ระบาดของโควิดที่เกิดขึ้น
จะทำให้แผนการก่อสร้างชะลอออกไปบ้าง แต่หากโรงงานในเวียดนามแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและทำให้มีความได้เปรียบในการทำตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนการดำเนินงานและต้นทุนค่าขนส่งที่ลดลง”
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้จัดตั้งบริษัทร่วมลงทุน 2 บริษัท ในประเทศอินโดนีเซีย และในประเทศไทย โดยบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซีย มีแผนจะก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เพื่อผลิตสินค้าป้อนตลาดในอินโดนีเซีย เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถผลิตและจำหน่ายสินค้าได้ในช่วงปลายปี 2565 นี้
ส่วนบริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งใหม่ในไทย เป็นการร่วมลงทุนทำธุรกิจอาหารนวัตกรรม ซึ่งเป็นสินค้า high margin คาดว่าจะดำเนินการผลิตสินค้าป้อนตลาดได้ในช่วงปลายปี 2565
“ช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมต้นทุนจะเพิ่มมากขึ้น จากสินค้าหลายอย่างที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่บริษัทยังไม่มีแผนการปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด ยังคงตรึงราคาเริ่มต้นที่ 5 บาทเหมือนเดิม
และมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถสร้างยอดขายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังปี 2564 ที่ผ่านมามีรายได้จากการขาย 4,277 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 343 ล้านบาท หรือ 366% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 93 ล้านบาท”