บีเอ็มฯ ตอกย้ำความสำเร็จครองแชมป์ขายรถหรู 3 ปีรวด

ค่ายบีเอ็มดับเบิลยู เผยความสำเร็จ หลังกวาดยอดปี 2565 ขายทะลุ 13,572 หมื่นคัน ขึ้นเบอร์หนึ่งตลาดรถหรู เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน หลังกลยุทธ์  ขณะที่ยอดขาย 2 แบรนด์ ทั้ง “บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ” กินส่วนแบ่ง 46.6% ของตลาดรถยนต์พรีเมี่ยม ส่วนรถอีวี ขายเพิ่ม 5 เท่า มียอด 535 คัน

วันที่ 18 มกราคม 2566 นายอเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยความสำเร็จของผลประกอบการในปี 2565 ที่ผ่านมาว่า บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดยานยนต์พรีเมี่ยม 3 ปีซ้อน โดยมียอดจดทะเบียนรถยนต์ทั้ง 2 แบรนด์มีทั้งสิ้น 15,010 คัน เพิ่มขึ้น 36.1% จากปีก่อนหน้า มีส่วนแบ่งทางการตลาดรวมเป็น 46.6% ของตลาดรถยนต์พรีเมี่ยม แบ่งเป็น บีเอ็มดับเบิลยู 13,572 คัน และมินิ 1,438 คัน

มีส่วนแบ่งที่สูงถึง 40.8% ของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ระดับพรีเมี่ยมนั้น ด้วยยอดจดทะเบียน 535 คัน เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าจากปีก่อนหน้า และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในกลุ่มเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซีขึ้นไป ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาด 10.3%, ยอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2565 ทั้งหมด 1,293 คัน เพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนหน้า

BMWส่วนความสำเร็จในตลาดโลกนั้น บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังครองตำแหน่งอันดับ 1 ในกลุ่มรถยนต์พรีเมี่ยมระดับโลก โดยมีการส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์-รอยซ์รวม 2,399,636 คันทั่วโลก ส่วนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า เติบโตเท่าตัว มียอดส่งมอบรวม 215,755 คัน จากบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ พุ่งสูงขึ้นถึง 107.7% และเมื่อรวมรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด มียอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึง 372,956 คัน ตลอดทั้งปี เพิ่มขึ้น 35.6% จากปีก่อนหน้า สะท้อนความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ทำสถิติยอดขายสูงสุดครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัท ด้วยยอดส่งมอบมอเตอร์ไซค์และสกู๊ตเตอร์รวม 202,895 คันทั่วโลก

BMW “ปีที่ผ่านมา เรายังได้คะแนนด้านความพึงพอใจของลูกค้า หรือ NPS Score เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทั้งในด้านการขายและบริการ เราจะยังคงมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในทุกสิ่ง และจะยังคงให้บริการลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพที่เหนือกว่า พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อยกระดับประสบการณ์ที่เหนือกว่า และบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มุ่งก้าวไปสู่ที่สุดแห่งอนาคต การเติบโตเชิงบวกของยอดขายและส่วนแบ่งทางการตลาด เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพและการออกแบบที่เหนือกว่าใคร เพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้”

ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงดำเนินงานตามแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการสร้างการเติบโตและการพัฒนาให้กับพนักงาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังมองไปข้างหน้าโดยมีเป้าหมายที่จะส่งมอบสุนทรียะแห่งการขับขี่ เทคโนโลยีอันล้ำสมัย และพลังแห่งทางเลือกให้แก่ลูกค้า และมั่นใจในศักยภาพที่จะขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จแห่งอนาคต