“ฟอร์ด” ลั่นปี2566ขึ้นท็อป 5 เพิ่มกำลังผลิต “เอเวอเรสต์” รับดีมานด์พุ่ง

Ford Everest

ฟอร์ด เล็งเพิ่มกำลังผลิต เอเวอเรสต์ รับ “ดีมานด์” พุ่ง เผยมั่นใจยอดขายทั้งปี โตพรวด 30% ประกาศขึ้นท็อปไฟฟ์ขายรถ ชูนโยบาย โปรดักต์-บริการ-เครือข่ายแน่น มัดใจลูกค้า

นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงแผนการดำเนินธุรกิจของฟอร์ดในประเทศไทยว่า บริษัทจะใช้นโยบาย มุ่งเน้นสานต่อความสำเร็จ หลังจากเปิดตัวรถยนต์ฟอร์ด เน็กซ์เจน ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ เรนเจอร์, เอเวอเรสต์ และแรพเตอร์ อย่างต่อเนื่อง หลังจากได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงกลางปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งปรากฏว่าได้การตอบรับจากกลุ่มลูกค้าผู้ใช้งานรถยนต์ทั้ง 3 รุ่นเป็นอย่างดี โดยฟอร์ดจะพยายามเพิ่มความสดใหม่ และนำเสนอทางเลือกให้กับลูกค้ารถยนต์แต่ละกลุ่มอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

โดยปีนี้มั่นใจว่า ฟอร์ดจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์สูงสุดเป็นอันดับ 5 ได้จากการทำตลาดของรถยนต์ในตระกูลเน็กซ์เจน โดยตั้งเป้ายอดขายไว้จะมีการเติบโตไม่น้อยกว่า 30% จากปี 2565 ที่ผ่านมา ฟอร์ดมียอดขายรถยนต์ 43,600 คัน โต 34.7% ถือเป็นการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยไม่นับแบรนด์จากจีนที่เพิ่งเข้ามาใหม่

โดยฟอร์ดจะยังคงมุ่งมั่นเพื่อสร้างดีมานด์ให้กับรถยนต์ในกลุ่ม “เน็กซ์เจน” อย่างต่อเนื่องด้วย สำหรับฟอร์ด เรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ มีแบ็กออร์เดอร์ อยู่รุ่นละ 3,000 คัน โดยบางรุ่นบางสีอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรอรับรถนาน 3-5 เดือน เป็นอย่างน้อย

“ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เรามีโอกาสทำตลาดแบบครบหนึ่งปีเต็ม ๆ สำหรับฟอร์ด เน็กซ์เจนทั้ง 3 รุ่น เรียกว่าจะมีโอกาสได้ขายและทำตลาดแบบเต็มปี นี่คือโอกาสที่ยังมีของเรา และเราจะพยายามรักษาระดับการขายของรถฟอร์ด เน็กซ์เจน เรนเจอร์ ให้อยู่ในระดับเดียวกับช่วงเปิดตัวใหม่ ๆ ไปอย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณามองไปถึงโอกาสที่จะเพิ่มกำลังผลิตรถยนต์ เอเวอเรสต์ หลังจากได้รับการตอบรับที่ดีเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าให้มากสุดเท่าที่จะทำได้ และยังเตรียมเพิ่มความสดใหม่ให้กับสินค้าอย่างเรนเจอร์ด้วย เพื่อรักษายอดขายและส่วนแบ่งทางการตลาด

กรรมการผู้จัดการยังกล่าวยืนยันกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากฟอร์ดประกาศปรับขึ้นราคาจำหน่ายรถยนต์ เรนเจอร์ 10,000 บาท เอเวอเรสต์เฉลี่ย 20,000 บาท และแรพเตอร์ 50,000 บาท ตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น

บริษัทขอยืนยันว่า ฟอร์ดจะสามารถยืนราคานี้ไปได้ทั้งปี 2566 ส่วนลูกค้าที่อยู่ระหว่างรอรับรถนั้นก็จะยังคงได้รับรถในราคาจำหน่ายเดิม

“สำหรับการปรับขึ้นราคาไป ซึ่งผลมาจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นในปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งคู่แข่งในตลาดเองก็มีการปรับขึ้นราคาจำหน่าย ขณะที่ฟอร์ดพยายามตรึงราคาหลังจากเปิดตัวรถใหม่ให้กับลูกค้าในปีที่ผ่านมา เราเพิ่งขึ้นราคาไปเมื่อช่วงต้นปี และเราก็จะพยายามมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผ่านสินค้าที่ดี แบรนด์แข็งแกร่ง ดีลเลอร์แข็งแรงด้วย เพื่อทำให้ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง”

ส่วนแผนการนำตลาดรถปิกอัพอีวีเข้ามาทำตลาดนั้น ฟอร์ดเป็นผู้นำในตลาดนี้อยู่ในระดับโลก แต่สำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้น ยังจำเป็นต้องดูเรื่องของดีมานด์ กับซัพพลาย โดยเฉพาะผลจากการที่ประเทศไทยมีการสนับสนุนและส่งเสริม โดยให้ส่วนลดสำหรับรถยนต์อีวีว่าจะมีผลอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม และตลาดมีโอกาส ฟอร์ดมีความพร้อม แต่ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้

ส่วนยอดขายรถยนต์โดยรวมของปี 2566 นั้น นายรัฐการเชื่อว่าน่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 910,000-930,000 คัน โต 8-9% เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ผ่านมา ที่ทำได้ 850,000 คัน สำหรับปัจจัยที่จะทำให้ตลาดรถยนต์มีการเติบโตนั้น เป็นผลมาจากปัจจัยบวก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัว โดยคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่น้อยกว่า 24 ล้านคนในปีนี้ ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมของประเทศ โดยเฉพาะตลาดเอสเอ็มอี

อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากที่คาดว่าจะมีการเลือกตั้งใหญ่ในปีนี้ ก็น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นดีมานด์การซื้อรถยนต์ได้ดีขึ้น ทั้งยังมีปัจจัยบวกจากสถานการณ์ของตลาดส่งออกที่คาดว่าจะดีขึ้นด้วย

แต่ทั้งนี้ยังคงมีปัจจัยหลักที่ต้องจับตาอย่างต่อเนื่อง คือ สถานการณ์ขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ในการผลิตรถยนต์ ที่ยังคงส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ แม้ว่าจะเริ่มคลี่คลาย แต่ก็ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด