อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเข้าใกล้ อาการ “โคม่า”

EV
คอลัมน์ : ชั้น 5 ประชาชาติ
ผู้เขียน : วุฒิณี ทับทอง

“ไม่แปลกใจ” ที่ได้เห็นสภาอุตฯ ประกาศลดเป้าผลิตรถยนต์ในปี 2567 ลงไป “ครึ่งแสน” ตัวเลข 5 เดือนแรก ม.ค.-พ.ค. ไทยมียอดผลิตรถยนต์ทั้งสิ้น 644,951 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 17%

ในจำนวนนี้ “โปรดักต์แชมเปี้ยน ตัวที่หนึ่ง” รถปิกอัพขนาด 1 ตัน ลดฮวบลงไปถึง 55% ขณะที่ยอดขายภายในประเทศ 5 เดือนแรก ลดลง 24% มียอดขายสะสม ที่ 260,365 คัน

การปล่อยสินเชื่อคุมเข้มมาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 ยังคงเป็น “กำแพงเหล็ก” ที่สูงและชัน ถาโถมด้วยสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่เกินกว่า คำว่า “ชะลอตัว”

แม้ว่าความต้องการซื้อรถยนต์คันใหม่จะยังคงมีอยู่ แต่ความสามารถในการซื้อ และความสามารถในการเป็นเจ้าของ นั้น “สวนทาง”

เป้าหมายยอดผลิตจาก 1.90 ล้านคัน เหลือเพียง 1.85 ล้านคันนั้น ไม่เกินไปกว่าความเป็นจริง

และตัวเลขที่หายไป 50,000 คัน นั้นหลัก ๆ คือยอดขายรถยนต์ในประเทศ

ADVERTISMENT

จากเดิมคาดมีความต้องการอยู่ราว ๆ 750,000 คัน แต่ล่าสุด ถูกปรับเหลือเพียง 700,000 คัน เท่านั้น เป็นเป้าหมายล่าสุด บนสถานการณ์ที่เรียกว่ายัง “ลำบาก” อาการแบบนี้เข้าใกล้โคม่า

มีค่ายรถยนต์อย่างน้อย ๆ 2 ราย ออกมาประกาศตัดสินใจ เตรียมยุติบทบาทโรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ภายในสิ้นปี 2567 อย่างบริษัท ตันจง ซูบารุ ออโตโมทีฟ (ประเทศไทย) จำกัด

และบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นรายล่าสุด ประกาศเตรียมยุติการผลิตรถยนต์ที่โรงงาน จ.ระยอง ภายในสิ้นปี 2568

ทั้งซูบารุ และซูซูกิ ประกาศว่า จะยังคงเดินหน้าทำตลาดรถยนต์ในประเทศไทยต่อไป และปรับแผนกลับไปใช้นโยบายการนำเข้ารถยนต์มาจำหน่ายให้กับลูกค้าบ้านเราแทน

ตรงนี้ก็น่าคิดกลายเป็นว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยเพียรทำมาก่อนหน้านี้ การชักชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุนในบ้านเราได้สำเร็จ ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และระบบซัพพลายเชนมากมาย ในช่วงเวลาอย่างน้อย ๆ มีหลัก “สิบปี” ขึ้นไป

กลับทลายลงไป โดยสึนามิ (ลูกแรก) หลังการเข้ามาของรถยนต์อีวีในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

สึนามิที่ทำให้ บ้านหลังเล็ก ๆ ได้รับผลกระทบก่อน

ส่วนสึนามิลูกต่อไป ความแรงจะมาก หรือน้อย ยังไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ ๆ หลาย ๆ คนต้องปรับเปลี่ยนกันแบบอุตลุด ไร้กระบวนท่า

หลายคนมองว่า ในวิกฤตยังมีโอกาส…

เพราะค่ายรถยนต์อีวีจีนที่เข้ามาปักหลักลงทุนโรงงานในบ้านเรานั้น ก็เริ่มเดินเครื่องขึ้นไลน์ผลิตแล้ว ต่อไป

ไทยจะเป็นความหวังใหม่ เป็นฐานผลิตสำคัญของยานยนต์พลังงานใหม่ ที่เต็มไปด้วยโอกาสและความสดใส

อันไหนคือภาพจริง อันไหนคือภาพลวงตา

วันนี้ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน อ่านเกมให้ขาด เพราะนั่นหมายถึง โอกาสและอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ที่จะก้าวไปได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

หรือจะก้าวเดินไปบนความวูบวาบของสปอตไลต์ หรือกลายเป็นความว่างเปล่า

ไทยจะเป็นฐานการผลิตสันดาปสุดท้ายของโลก

ไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ได้อย่างแข็งแกร่ง

และถึงเวลาแล้วหรือยัง ? ที่อุตฯยานยนต์ไทย ควรจะรื้อฟื้นให้มี “แผนแม่บทยานยนต์” ฉบับใหม่ เพื่อกำหนดกรอบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยั่งยืน