“เปอโยต์” สเตตัสจับต้องได้ ราคาเซอร์วิสใกล้เคียงรถญี่ปุ่น

สัมภาษณ์พิเศษ

เปอโยต์ อยู่ในไทย 49 ปีแล้ว ผ่านประวัติศาสตร์ในไทยมายาวนาน แต่ต้องยอมรับว่าตลอดระยะเวลาที่มีผ่านมา ได้ขาดความต่อเนื่องในการทำตลาด

แต่หลังจากกลุ่มเอ็มจีซี เอเชีย ได้สิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายและดูแลแบรนด์ เปอโยต์ในประเทศไทย แต่เพียงผู้เดียวเมื่อปี 2562 ความชัดเจนของการรุกตลาดแบรนด์เปอโยต์ก็เริ่มต่อเนื่องมากขึ้น

วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ “สุนทรพันธ์ เดชะเทศ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเปอโยต์ ประเทศไทย ผู้ที่จะมาปลุกแบรนด์เปอโยต์ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง

ปลุกสิงห์หลับให้ตื่น

เปอโยต์เรากลับมาได้ราว ๆ 2 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2019 (2562) ที่กลุ่ม เอ็มจีซี เอเชีย เราเข้ามาดูแลได้ภาพลักษณ์ในฐานะของผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ภายใต้การบริหารงานของบริษัท เบลฟอร์ต ออโตโมบิลจำกัด

อย่างที่ทราบ เราเปิดตัวได้ไม่นานก็ต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายเรามาก ๆ ที่สำคัญ เรามีสินค้าจำนวนจำกัด ซึ่งเราพยายามทำการตลาด สร้างการรับรู้ไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (baby boomer) กลุ่มเจนเอ็กซ์ (gen X) มาตลอดช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเราได้รับการตอบรับที่ดีขึ้น ทำให้ปัจจุบัน เปอโยต์มีส่วนแบ่งในตลาด C-SUV อยู่ที่ 3% จากตลาดรวม 20,000 คัน

จากนี้ไป เปอโยต์จะไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ที่หยุดนิ่งเพียงแค่เข้ามาในตลาดแล้วก็หายไป แต่เราจะพัฒนา ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทั้งคุณภาพสินค้า งานบริการหลังการขาย การขยายเครือข่ายให้ครอบคลุมตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าอีกด้วย รวมถึงเน้นการนำเสนอสินค้าคุณภาพยุโรป แต่เป็นราคาที่ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ และเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Be Your First European Car”

Be Your First European Car

แนวทางการสร้างแบรนด์ และการสื่อสารการตลาดของเปอโยต์นั้น เราจะผสมผสานระหว่างความเป็นรถแมส และอัลตร้าลักเซอรี่ไว้ด้วยกัน ซึ่งเราวางตำแหน่งของแบรนด์ไว้อยู่ในกลุ่มพรีเมี่ยม แต่ไม่ใช่พรีเมี่ยมจ๋า รถยนต์เปอโยต์จะเป็นรถที่ทุกคนสามารถใช้ได้เหมือนกันหมดเราวางตำแหน่งไว้สูงกว่าแบรนด์ญี่ปุ่นเล็กน้อย เนื่องจากสินค้าและดีไซน์มีความเป็นยูโรเปี้ยน ซึ่งนี่คือจุดเด่นของเรา โดดเด่นที่ดีไซน์ วัสดุ การออกแบบ เป็นเรื่องของอีโมชั่นนอล…

ปัจจุบันเปอโยต์มีรถยนต์ 2 รุ่น ทำตลาดในกลุ่ม SUV คือ 3008, 5008 และเราจะเปิดตัว 2008 ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ซึ่งเราปรับมาขายความเป็นยูโรเปี้ยนที่เป็นจุดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งเป็น “ยูโรเปี้ยนที่สามารถจับต้องได้” เปอโยต์เราสามารถเป็นรถคันแรกของผู้ใช้ได้ และที่ผ่านมามีการปรับราคาลงจากเดิม 10% และราคาจะสูงกว่ารถญี่ปุ่นไม่เกิน 8% เปอโยต์เป็นรถยนต์แบรนด์ยุโรปที่จับต้องได้ไม่ไกลเกินเอื้อม ยิ่งเซอร์วิสเราใกล้เคียงกับรถญี่ปุ่น

ลุยขยายเครือข่ายต่อเนื่อง

ตลอดช่วง 2 ปีที่เราต้องเผชิญกับโควิด-19 การสื่อสารและการตลาดของเรา จึงต้องเน้นไปที่ออนไลน์หมด วันนี้สถานการณ์ดีขึ้น เราเตรียมกลับมาทำการสื่อสาร แบบเพื่อสร้างแบรนด์ สร้างการรับรู้ในมุมกว้างว่า เปอโยต์เรากลับมาแล้ว “พับลิกคอมมิวนิเคชั่น” เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่ม “ลูกค้าคาดหวัง” ควบคู่การสร้างความเชื่อมั่นด้วยการขยายเครือข่ายการจำหน่าย

เราตั้งเป้าว่าภายในระยะเวลา 3 ปีจากนี้ จะขยายโชว์รูมและศูนย์บริการรถยนต์เปอโยต์ให้ได้ 25 แห่งทั่วประเทศ โดยจะเน้นไปจังหวัดซึ่งเป็นหัวเมืองหลัก ๆ อย่างภาคอีสาน ปัจจุบันมีที่ จ.อุบลราชธานี, อุดรธานี วันนี้ก็มองไปที่ จ.นครราชสีมา เชียงใหม่ พิษณุโลก ส่วนภาคใต้ มีหาดใหญ่ และภูเก็ตแล้ว ขณะที่ในกรุงเทพฯ มีสาขาเยาวราช, สุขุมวิท, เกษตร และในเร็ว ๆ นี้จะมีสาขาพระราม 5, พารากอน และสุวินทวงศ์

ได้เห็นแน่ปิกอัพเปอโยต์

แน่นอนว่าเพื่อรองรับสินค้าใหม่ ๆ ในส่วนของรถปิกอัพเปอโยต์นั้น เราเตรียมนำเข้ามาทำตลาดแน่ ๆ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เราต้องศึกษาและทำการบ้านค่อนข้างเยอะ ตลาดรถยนต์บ้านเราเป็นตลาดปราบเซียนอยู่แล้วว่า และยิ่งตลาดปิกอัพก็สาหัสพอสมควร ซึ่งวันนี้เรายังพอมีเวลา

คาดว่าครึ่งปีหลังของปี 2565 เปอโยต์จะมีการแนะนำรถปิกอัพออกสู่ตลาดอย่างแน่นอน ตรงนี้เป็นเรื่องท้าทายมาก ๆ แต่เราต้องพยายามหาจุดที่เป็น “บลูโอเชี่ยน” ของเราให้เจอ เพื่อให้เราหาตลาดของเราได้ดังนั้น ความเป็นยูโรเปี้ยนเราจะหาความชัดเจนให้เจอ เป็นยูโรเปี้ยนที่เป็นกระบะรายเดียวในไทย ความแตกต่างความโดดเด่นของเรา ส่วนรถยนต์อีวียังต้องดูปัจจัยหลาย ๆ อย่าง อย่างน้อยต้องรออีก 5 ปี น่าจะมีความชัดเจน

ราคาที่จับต้องได้

แน่นอนว่าเปอโยต์เราเติบโตเพิ่มขึ้น ปีแรกเรามียอดขายหลัก ๆ 100 กว่า ๆ ปีนี้ 2564 เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 550-590 คัน ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป มีการแนะนำ 2008 ที่มีเอกลักษณ์ของดีไซน์ ความเป็นแบรนด์ยุโรป ซึ่งเราจะนำเสนอในราคาที่จับต้องได้ง่าย สามารถแข่งขันได้ เราเชื่อว่ารถยนต์เปอโยต์จะสามารถก้าวขึ้นไป นำเสนอ “ความเป็นสเตตัส” ได้อย่างแข็งแกร่ง หรือถ้าพูดให้ชัดเจน ถ้าสนใจราคาให้ไปหารถจีน ถ้ามองเรื่องของแบรนด์ต้องไปรถญี่ปุ่น

แต่ถ้ามองหาความเป็นสเตตัส คือเปอโยต์ เพราะเราเชื่อว่าคนไทยยังติดภาพลักษณ์ ส่วนปี 2565 จะเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก 550-590 คัน ขึ้นไปแตะ 1,000 กว่าคัน