บลูมเบิร์กฯ ชี้อีก 8 ปีราคาแบตเตอรี่รถอีวีถูกลง 60 เหรียญสหรัฐต่อ kWH

บลูมเบิร์กฯ
Tuesday, July 17, 2018. Photographer: Jason Alden Photographer: Jason Alden www.jasonalden.com 0781 063 1642

บลูมเบิร์กเอ็นอีเอฟ เผยผลศึกษา แนวโน้มราคาแบตเตอรี่ รถอีวี ต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐต่อ kWH ในอีก 8 ปี หากไม่เจอสงคราม รัสเซีย-ยูเครน วันที่ 28 มิถุนายน 2565 นายอเล็กซานดร้า โอโดโนแวน หัวหน้าฝ่ายวิจัยรถยนต์ไฟฟ้า บลูมเบิร์กเอ็นอีเอฟ เปิดเผยผลรายงานประจำปี ของ “แนวโน้มระยะยาวของรถยนต์ไฟฟ้า” (Long-Term Electric Vehicle Outlook : EVO) โดยบลูมเบิร์ก นิว เอเนอร์จี้ ไฟแนนซ์ (บลูมเบิร์กเอ็นอีเอฟ) ได้เปิดเผยว่าในปี 2564 ที่ผ่านมาการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปริมาณรถยนต์นั่งไฟฟ้าในยุโรปมีส่วนแบ่งสูงถึง 20% ตามมาด้วย จีน 15% ส่วนไทย คิดเป็น 2% จากยอดการจำหน่ายรถยนต์โดยรวมในประเทศนั้น ๆ และพบว่า สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มียอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 0.6% ของยอดขายทั้งภูมิภาค

สาเหตุที่ทำให้ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการกำหนดกฎเกณฑ์ของภาครัฐโดยเฉพาะมาตรการอุดหนุน ทำให้คาดว่าว่า ปีนี้จะมีความต้องการของรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 10 ล้านคัน ขณะที่ในตลอดช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ลดลงมาถึง 89% จากราคา 1,220 เหรียญสหรัฐต่อ kWH ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ 132 เหรียญสหรัฐต่อ kWH และปีนี้เป็นปีแรกที่ราคาแบตเตอรี่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ยังต้องจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จากการศึกษาดังกล่าวเป็น การศึกษาก่อนที่จะเกิดสงครามระหว่างรัสเซีย และยูเครน ในส่วนของราคาแบตเตอรี่จะถูกลงได้ก็ต่อเมื่อมีการผลิตแบตเตอรี่ 2 เท่า จึงจะทำให้ราคาแบตเตอรี่ลดลง 18% และในปี 2566 มีแนวโน้มว่าจะเห็นราคาแบตต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อ kWH ปี 2573 จะมีราคาต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐต่อ kWH

นอกจากนี้นายโอโดโนแวน ยังกล่าวต่อไปว่า ระยะเวลาที่ยอดขายรถรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ice) ได้เกิดขึ้นไปแล้วเมื่อปี 2559 และเมื่อเข้าสู่ปี 2562 เป็นต้นมาหลังช่วงสถานการณ์โควิดจะพบว่าในส่วนของการจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในลดลง และสัดส่วนการจำหน่ายของรถยนต์ ไฮบริด ,ปลั๊ก-อิน ,อีวี และ ฟิวเซลมีการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยคาดว่า ในปี 2583 ปริมาณของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดลง เหลือ 53% และอีก 45% คือรถยนต์ในกลุ่มไฟฟ้าโตเพิ่มขึ้น

ส่วนในประเทศไทยนั้น คาดว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า จะเพิ่มขึ้นมาที่ 4.2% ขณะที่ตลาดอาเซียน 1.8% สำหรับสาระสำคัญที่ทำให้ยอดการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยและ ภูมิภาคอาเซียน ยังไม่สูงเนื่องจากราคาจำหน่ายแพง และกฎที่เปลี่ยนค่าไอเสียยังไม่เข้มแข็ง