รัฐบาล เล็งออกมาตรการอุดหนุนจุดชาร์จแบตรถอีวี

สรรพสามิตเผยเตรียมคลอดมาตรการอุดหนุนจุดชาร์จแบตรถอีวี เชื่อว่าหนุนใช้รถยนต์อีวีในประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด ชี้มีค่ายรถสนใจร่วมมาตรการอีก 5-6 เจ้า

วันที่ 17 มิถุนายน 2565 นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาครัฐอยู่ระหว่างการพิจารณามาตรการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี เพิ่มเติมจากมาตรการทางภาษีที่ได้ออกมาก่อนหน้านี้ โดยหนึ่งในมาตรการ คือ การสนับสนุนจุดชาร์ตแบตเตอรี่ เชื่อว่าหากออกมาตรการดังกล่าวแล้ว จะทำให้ผู้ใช้รถอีวีเติบโตอย่างก้าวกระโดด

“ในอนาคตถ้าเรามีการสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นจุดชาร์ตแบตเตอรี่ หรือ ค่าไฟฟ้า จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคได้ แต่เนื่องจากเรามีมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้น แต่จะมีมาตรการอีกด้านที่เรายังพูดได้ไม่เต็มปาก คือ เรื่องของการสนับสนุนจุดชาร์ตแบตเตอรี่ แต่ก็เป็นอีกสเต็ปหนึ่งที่รัฐบาลกำลังผลักดันอยู่ เชื่อว่าถ้าเรามีจุดชาร์ตเพียงพอ ความต้องการผู้บริโภคจะเกิดขึ้นแบบก้าวกระโดดได้ง่าย”

ทั้งนี้ หากถามว่าเมื่อมาตรการรัฐหมดลงไป การใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเติบโตด้วยตัวเองได้หรือไม่นั้น มองว่า วันนี้ความเชื่อมั่นเกิดขึ้นแล้วในเรื่องของการพัฒนาอีวี แต่ความต้องการในอนาคตขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงแบตเตอรี่ เชื่อว่า ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเราจะมีเทคโนโลยีที่เป็นแบตเตอรี่ใหม่

ฉะนั้น เชื่อมั่นว่า การตอบรับของผู้บริโภคจะดีขึ้นกว่าเดิม โดยขนาดของแบตเตอรี่จะเล็กลงและน้ำหนักจะเบา ขณะเดียวกัน การชาร์ตจะทำให้วิ่งในระยะไกล ซึ่งเชื่อว่า ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็นการเติบโตของรถยนต์อีวีโดยไม่ต้องมีมาตรการัฐเข้ามาสนับสนุน

นายณัฐกร กล่าวว่า ขณะนี้มีค่ายรถยนต์อีกประมาณ 5-6 ราย ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์อีวี หลังจากที่ ขณะนี้ เราได้ร่วมลงนามความตกลงรับการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีจากรัฐบาลกับผู้ประกอบการรถยนต์ไปแล้วจำนวน 4 ราย ซึ่งประกอบด้วย ค่ายเกรทวอลล์ ค่ายเอ็มจี ค่ายโตโยต้า และ ค่ายเดโกกรีน ปัจจุบันมียอดจองทั้งหมด 1.14 หมื่นคัน ประกอบด้วยรถที่อยู่ในโครงการ 1.08 หมื่นคัน และ รถที่ไม่ได้อยู่ในโครงการอีก 659 คัน

“การตอบรับภายใต้งานมอเตอร์โชว์ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ค่อนข้างดี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคมีถึง 1.1 หมื่นคัน ซึ่งหลายประเทศในอาเซียนมีการโปรโมทจริง แต่ยอดจองมีแค่ 300 กว่าคัน วันนี้ ถือว่า ประเทศไทยได้ก้าวไปหนึ่งก้าวที่จะไปสู่อีวีในอนาคต”

ส่วนปัญหาวัตถุดิบในการผลิตรถอีวีที่ไม่เพียงพอ จะเป็นเหตุให้ผู้ประกอบการปรับขึ้นราคาได้หรือไม่นั้น มองว่า ในหลักการแล้วสามารถปรับขึ้นได้ หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง สิ่งที่เรากังวล คือ การที่เราให้เงินอุดหนุนแล้ว แต่ปรากฎผลกำไรไปตกอยู่กับภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น เราจึงตั้งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องโครงสร้างราคา โดยหลักฐานในการปรับขึ้นราคาจะต้องมีการชี้แจงอย่างชัดเจนว่า ต้นทุนวัตถุดิบมีการปรับขึ้นอย่างไร

สำหรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์หลังจากปี 2569 นั้น จะทยอยปรับโครงสร้างภาษีใหม่ สำหรับรถยนต์ที่ใช้สันดาปภายในพอสมควร แต่ปรับไม่มาก เพิ่มแค่ 1-2%ในช่วงเวลา 2 ปี ฉะนั้น ภายใน 5-6 ปี นับจากนี้ไป หลังจากปี 2566-73 และ 75 โครงสร้างภาษีจะมีการปรับขึ้นประมาณสูงสุดไม่เกิน 5%

ขณะเดียวกัน จะมีความแตกต่างระหว่างไฮบริดกับปลั๊กอิน เนื่องจาก ในอดีตก่อนปี 2562 กำหนดไว้ว่า ปลั๊กอินไฮบริดวิ่งได้แค่ 20 กิโลเมตรต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง วันนี้มีเงื่อนไขว่า ต้องวิ่งได้ไม่น้อยกว่า 80 กิโลเมตรต่อการชาร์ตหนึ่งครั้ง


นอกจากนี้ ในเรื่องถังน้ำมันต้องมีขนาดเล็กลงอยู่ที่ 45 ลิตร ถามว่า ทำไม เพราะเราอยากส่งเสริมให้คนใช้ไฮบริดปลั๊กอินมากขึ้น ไม่อยากให้บอกว่า เมื่อมีปลั๊กอินแล้วท่านยังใช้น้ำมันเหมือนเดิม ซึ่งจะเป็นเครื่องมือหนค่งที่พยายามผลักดันให้มีแตกต่างระหว่างไฮบริดกับปลั๊กอินไฮบริด