คอลัมน์ : Pawoot.com ผู้เขียน : ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ
ในยุคที่เทคโนโลยีและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเข้าถึงทุกคนอย่างรวดเร็ว การค้าปลีกในประเทศไทยก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ขับเคลื่อนด้วยตามกระแสมาจากต่างประเทศ การค้าปลีกออนไลน์เริ่มกลายเป็นระบบนิเวศที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเริ่มมีร้านค้ารายใหญ่และรายย่อยหันมาใช้การขายออนไลน์แทนที่จะมีหน้าร้าน ซึ่งผมสันนิษฐานว่าอนาคตของการค้าปลีกไทย (ออฟไลน์) จะดูเหมือนตลาดในประเทศจีนอย่างแน่นอน
เหตุการณ์สำคัญที่มีตอนนี้คือ การปิดตัวของห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ ที่ทำให้ตลาดค้าปลีกต้องมีการปรับตัว โดยผมจะยกตัวอย่างของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดอเมริกา ที่ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งเริ่มปิดตัวร้านค้า เพราะผู้คนเริ่มย้ายไปซื้อสินค้าต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มออนไลน์แทน
การเปลี่ยนแปลงวิธีการซื้อขายนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและองค์กรค้าปลีกใหญ่หลายกลุ่มในประเทศไทย ที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่น Tops Market, Central และThe Online Gang ซึ่งหันมาขายสินค้าในออนไลน์บ้าง รวมถึงการจัดโปรโมชั่นต่าง ๆ สำหรับลูกค้าที่ซื้อผ่านออนไลน์
อย่างไรก็ตาม สำหรับผมแล้ว ที่ดูจะน่ามีความกังวลมากที่สุดคือ ห้างบางแห่งที่ยังไม่ค่อยมีการปรับตัวเข้าสู่ตลาดออนไลน์มากนัก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งใหญ่จากต่างประเทศ เช่น Shopee, Lazada, TikTok และ Grab ที่กำลังขยายการเข้ารับตลาดค้าปลีกไทยออนไลน์
การปรับตัวและต่อสู้กับคู่แข่งใหญ่นี้ เราสามารถเดาได้ไม่ยากเลยว่า CP Group (ที่ครอบครอง 7-11, Lotus, Makro) พร้อมกับ True Money เป็นผู้ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นด้านความพร้อมในการจัดส่งสินค้าถึงบ้านในแต่ละแบบ รวมถึง Retail, HoReCa, และ B2B
อนาคตของการค้าปลีกไทย (ออฟไลน์) ต้องปรับตัวรับสถานการณ์ที่ผู้คนจะเข้าสู่ระบบออนไลน์มากขึ้น และพร้อมต่อสู้กับคู่แข่งที่เป็นรายใหญ่ในตลาด การนำเสนอประสบการณ์การ shopping ที่น่าสนใจ และอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกค้า จะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการค้าปลีกออนไลน์
ผมมองว่าอนาคตของค้าปลีกไทย (ออฟไลน์) อาจเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และมีโอกาสสำเร็จก็ต่อเมื่อสามารถปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม