คอลัมน์ : Pawoot.com ผู้เขียน : ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2567 กำลังเป็นที่จับตามองจากทั่วโลก การแข่งขันระหว่างผู้สมัครทั้งสองจากสองพรรคหลัก “โดนัลด์ ทรัมป์” จากพรรครีพับลิกัน และ “คามาลา แฮร์ริส” จากพรรคเดโมแครต ถือเป็นจุดสำคัญที่จะกำหนดทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกและประเทศไทย
ผลกระทบด้านการค้าของไทย
หากทรัมป์ได้รับเลือกตั้งอีกครั้ง หนึ่งในนโยบายหลักที่เขามุ่งเน้นคือ การสร้างสงครามการค้าใหม่กับจีน ทรัมป์ตั้งใจเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60% และกำหนดภาษีสำหรับสินค้าจากประเทศอื่น ๆ รวมถึงไทยอีก 10% เพื่อลดการพึ่งพาจีนและกระตุ้นภาคการผลิตภายในสหรัฐให้กลับมาเติบโต
สหรัฐเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยเฉพาะสินค้าสำคัญอย่างอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ ยานพาหนะ และชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งในช่วงเดือนมกราคมถึงกันยายน 2567 ไทยส่งออกไปสหรัฐประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่สหรัฐเพิ่มภาษีนำเข้าอาจทำให้สินค้าจากไทยมีราคาสูงขึ้นในตลาดสหรัฐ ซึ่งอาจกระทบต่อยอดส่งออกของไทยโดยรวม อย่างไรก็ตาม การที่สหรัฐลดการพึ่งพาจีน อาจเปิดโอกาสให้ไทยเข้ามาเติมเต็มห่วงโซ่อุปทานบางส่วน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี
ความสัมพันธ์ทางการทูตและนโยบายด้านการลงทุน ทรัมป์มีท่าทีการเจรจาทางการทูตที่ค่อนข้างแข็งกร้าว ซึ่งอาจส่งผลให้สหรัฐลดบทบาทในอาเซียน โดยเฉพาะในเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ทรัมป์อาจให้ความสำคัญน้อยกว่าเรื่องเศรษฐกิจ สำหรับไทย การลดบทบาทของสหรัฐในภูมิภาคอาจเป็นดาบสองคม หากไทยสามารถรักษาสมดุลในการดำเนินนโยบายระหว่างมหาอำนาจได้ดี อาจเป็นโอกาสในการเพิ่มบทบาททางการทูตและดึงดูดการลงทุน
นอกจากนี้ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายในของทรัมป์ อาจชักชวนให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตภายในประเทศ การไหลเข้าของเงินลงทุนในสหรัฐส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจกระทบการส่งออกของไทย และทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งมีผลต่อมูลค่าสินค้านำเข้าของไทยในระยะยาว
ในกรณีที่แฮร์ริสได้รับชัยชนะ พรรคเดโมแครตยังคงนโยบายกีดกันการค้ากับจีนเช่นเดียวกัน แต่จะเน้นการควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูง และป้องกันไม่ให้จีนสามารถเข้าถึงทรัพยากรเทคโนโลยีสำคัญเพื่อใช้พัฒนาอุตสาหกรรมของตน นโยบายนี้อาจมีผลกระทบน้อยกว่าทรัมป์ในด้านการปรับภาษี ทำให้ไทยสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐได้ง่ายขึ้น แต่ในระยะยาวไทยอาจต้องปรับมาตรฐานการผลิตและการจัดการทรัพย์สินทางปัญญาให้สอดคล้องกับสหรัฐมากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสหรัฐ
ในตลาดสินทรัพย์ เช่น ทองคำและคริปโต หากทรัมป์ได้รับชัยชนะ ตลาดคาดการณ์ว่าเขาจะสนับสนุนการใช้คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) โดยเฉพาะ Bitcoin ซึ่งมีโอกาสที่ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นไปถึงระดับ 72,000 ดอลลาร์ การสนับสนุนคริปโตของทรัมป์อาจทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลกลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนมากขึ้น และช่วยสร้างความคึกคักในตลาดคริปโตทั่วโลก
ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร การเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในด้านการค้า การลงทุน ความสัมพันธ์ทางการทูต และตลาดสินทรัพย์ ประเทศไทยควรเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในตลาดโลก และสร้างแผนรับมือในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว