ครม. เห็นชอบร่างแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ 52 แห่ง อัพเกรดให้ทันสมัย

ครม.ไฟเขียวแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ 52 แห่ง ลดต้นทุนซ้ำซ้อน จัดโครงสร้างการลงทุน อัพเกรดให้ทันสมัย

วันที่ 25 ตุลาคม 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า

ที่ประชุมเห็นชอบร่างแผนพัฒนารัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2566 – 2570 เพื่อยกระดับขีดความสามารถรัฐวิสาหกิจไทยมุ่งสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยเป็นกำหนดทิศทางหลักในการพัฒนารัฐวิสาหกิจ จำนวน 52 แห่ง ให้เชื่อมโยงกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ทั้ง 13 หมุดหมาย 

ซึ่งรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งจะมีส่วนในการดำเนินการตามหมุดหมายที่แตกต่างกันตามบทบาทและภารกิจขององค์กร ได้แก่ 1. โครงสร้างพื้นฐาน 2. บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน 3.กิจการที่ไม่มีเอกชนดำเนินการได้อย่างเพียงพอ 4.กิจการที่รัฐต้องควบคุม และ 5.ภารกิจเชิงส่งเสริม

ทั้งนี้  ทิศทางการพัฒนารัฐวิสาหกิจ (รายสาขา)  เป็นการพิจารณาจากบทบาทและกรอบภารกิจของรัฐวิสากิจ จำนวน 9 สาขา ประกอบด้วย 1.สาขาขนส่ง การบริหารจัดการโครงข่ายคมนาคมและโลจิสติกส์ที่มุ่งเน้นการขนส่งทางราง 2.สาขาพลังงาน สนับสนุนการจัดหาพลังงานแหล่งใหม่และการใช้พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3.สาขาสาธารณูปการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำและน้ำเสีย 4.สาขาสถาบันการเงิน  สร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนอย่างทั่วถึงควบคู่ไปกับความรู้ทางการเงิน  

5.สาขาสื่อสาร  สนับสนุนการพัฒนาและยกระดับดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ 6. สาขาเกษตร เสริมสร้างศักยภาพทางด้านการผลิตและตลาดสินค้า 7.สาขาทรัพยากรธรรมชาติ สร้างความตระหนักในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้แก่ชุมชนและประชาชน 8. สาขาอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม  บริหารจัดการจัดการองค์กรด้วยหลักธรรมาภิบาลและเทคโนโลยีที่ทันสมัย 9. สาขาสังคมและเทคโนโลยีส่งเสริมการท่องเที่ยวและกีฬาสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม

นายอนุชา กล่าวว่า ร่างแผนพัฒนา ฯ จะเป็นประโยชน์ต่อรัฐวิสาหกิจทั้ง 52 แห่ง และประชาชน โดยวิสาหกิจจะมีการบูรณาการระหว่างกันมากขึ้น ทั้งในการวางแผนและการใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทำให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุนและลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน

โดยสามารถเห็นได้ถึงภาพรวมการลงทุนและช่วยให้การบริหารจัดการโครงการลงทุนต่างๆเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด  มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับสินค้าบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพและสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน