สภาคว่ำ ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า แต่ก้าวไกล งัดแท็กติกขอนับคะแนนใหม่

สภาคว่ำ ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า แต่ก้าวไกล งัดแท็กติคขอนับคะแนนใหม่

สภาโหวตคว่ำ ร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า 177 ต่อ 173 เสียง แต่ก้าวไกลขอนับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ เพราะผลต่างคะแนนชนะกันไม่ถึง 25 เสียง

วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง เป็นวันแรก โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิต หรือ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาเสร็จแล้ว มีทั้งหมด 7 มาตรา

ทั้งนี้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวว่า หลักการที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาเรื่องนี้ คือการเอาสภาพข้อเท็จจริงและศักยภาพของผู้ประกอบการ มาเทียบกับร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า และกฎกระทรวงที่ออกมาเมื่อวานนี้ ว่าสิ่งใดที่เหมาะสมกับข้อเท็จจริงของประเทศและศักยภาพของผู้ประกอบการมากกว่ากัน

ซึ่งหากเป็นกฎกระทรวงที่ออกมาเมื่อวานนี้ กล่าวได้ว่าเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนจากล็อกเก่ามาเป็นล็อกใหม่เท่านั้น หากพิจารณาตามข้อเท็จจริง ผู้ประกอบการจินหรือรำ ทั้งที่เชียงใหม่ หนองคาย สงขลา สุราษฎร์ธานี ที่เป็นผู้ประกอบการระดับโลก ส่งออกไปได้ 17 ประเทศ ชนะการประกวดทั้งที่ปารีส โตเกียว ฮ่องกง ชนะคู่แข่งจากออสเตรเลีย อาร์เจนติน่าจะไม่ได้รับการปลดล็อกจากกฎกระทรวงฉบับนี้ ด้วยการกำหนดกำลังการผลิตขั้นต่ำ 30,000 ลิตรต่อวันที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลย รวมทั้งการที่ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็น

ดังนั้น กฎกระทรวงที่มีวิธีคิดมาจากข้าราชการและกรมสรรพสามิตอย่างเดียว จึงไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพของผู้ประกอบการไทยและสินค้าเกษตรของไทยได้ เป็นกฎหมายที่หยุมหยิม พายเรือในอ่าง ลดกำแพงหนึ่งแต่สร้างอีกกำแพงหนึ่งขึ้นมา กีดกันไม่ให้ประชาชนไปถึงศักยภาพระดับโลกได้ ผิดกับร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า ที่ต้องการไม่ให้มีการกีดกันการแข่งขันผ่านกำลังการผลิต กำลังแรงม้า ทุนจดทะเบียน และจำนวนพนักงาน

ซึ่งจะปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของผู้ประกอบการไทยได้อย่างแท้จริง และเป็นทั้งนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายการเกษตร และนโยบายท่องเที่ยวไปในตัวด้วย

นายพิธากล่าวว่า ตัวเองต้องฝากไปถึง ส.ส. ทุกคนจากทุกพรรค ว่าการพิจารณาในวันนี้มีความหมายและความสำคัญต่ออนาคตของเกษตรกรไทย ผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง รวมทั้งเศรษฐกิจของไทย และขอให้ทุกคนได้ตัดสินใจโดยยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเหล่านี้มาเป็นที่ตั้ง

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะ กมธ.เสียงข้างมาก อภิปรายว่า การแก้กฎกระทรวง เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำอย่างเร่งด่วน มีการประกาศในราชกิจจาฯ ภายในวันเดียว ซึ่งไม่ค่อยปรากฏในกระบวนการที่จะออกกฎกระทรวง หรือออกกฎหมายใด ๆ แสดงให้เห็นถึงความเร่งรีบ อาจจะเพื่อให้มีผลกระทบกับกระบวนการพิจารณาในสภาก็เป็นได้

แต่กระบวนการในสภา ไม่ควรเอาปัจจัยภายนอกเข้ามาเป็นปัจจัยในการพิจารณาตัวกฎหมาย ซึ่งศักดิ์สูงกว่ากฎกระทรวง เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของสภา ว่าทิศทางการเปิดเสรีสุราเป็นสิ่งที่เราอยากให้เกิดการเสมอภาคกับประชาชน ไม่ให้รายใหญ่ผูกขาดอีกต่อไป ถ้าเราหวังพึ่งว่ามีกฎกระทรวงมาแล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันให้เกิดความมั่นใจได้เลยว่า ในอนาคตทิศทางของตลาดสุราจะเป็นไปอย่างไร ถ้ากฎหมายฉบับนี้ไม่สามารถผ่านความเเห็นชอบจากสภาได้

แปลว่ากฎหมายที่เป็นแม่ของกฎกระทรวงไม่มีผลบังคับใช้ วันนี้มีกฎกระทรวงซึ่งออกเมื่อวาน มะรืนอาจจะมีกฎกระทรวงไปแก้ไขเปลี่ยนกลับก็ยังได้ ดังนั้นเราต้องยืนยันด้วยกฎหมาย

ด้านนายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า ที่ผ่านมาเห็นชัดว่ามีการผูกขาดและกีดกัน แต่กฎหมายฉบับนี้เป็นการแก้ไม่ให้มีการกีดกันและผูกขาด กฎกระทรวงที่ออกมาเมื่อวาน (1 พฤศจิกายน) ทำให้มีคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่ยังต้องแก้กฎหมาย แต่กฎกระทรวงเป็นเพียงวิธีปฏิบัติ แต่ถ้าเราไม่มีกฎหมายที่ระบุชัดเจนว่าวิธีปฏิบัติต้องยึดโยงกับหลักการอะไรก็จะทำให้อำนาจของการกำกับไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามกฎหมายก็ได้

และฝ่ายบริหารสามารถเปลี่ยนใจได้หาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ผ่านสภา วันนี้ใช้กฎกระทรวงที่เพิ่งออกมา พรุ่งนี้แก้ใหม่ก็ได้ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องยึดโยงหลักการของกฎหมาย ซึ่งกฎกระทรวงเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กฎหมายถ้าจะแก้ต้องมาที่สภา และกฎกระทรวงแทนกฎหมายไม่ได้

ดังนั้นตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจว่า เราอยากจะเห็นกฎหมายนี้ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนหรือไม่ แต่หลักนี้ต้องไม่ใช่เป็นเรื่องของกฎกระทรวง ดังนั้นส่วนตัวคิดว่าควรสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ และอย่าเข้าใจผิดว่ากฎกระทรวงนี้คือคำตอบ

ขณะที่ นายชาดา ไทยเศรษฐ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย (ภท.) อภิปรายว่า ในฐานะที่ตนเป็นมุสลิม อย่างไรเสียก็ต้องลงมติงดออกเสียงร่างกฎหมายฉบับนี้แน่นอน ขอเรียนว่าเราไม่ควรนำกฎกระทรวงที่ออกเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นตัวชี้วัดว่าจะรับหรือไม่รับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะ พ.ร.บ.ที่กำลังจะออกอยู่ใหญ่กว่ากฎกระทรวง

แต่สิ่งที่ตนกังวลคือ ปัญหาตัวเลขผู้เสียชีวิตช่วงเทศกาลต่าง ๆ ทั้งปีใหม่และสงกรานต์ คุณและโทษของสุรา รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเยาวชน และจำนวนรายได้ของรัฐจะลดหรือเพิ่มขึ้นอย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมได้พิจารณาครบทั้ง 7 มาตรา ได้มีการลงคะแนน โดยมีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ปรากฏว่า ที่ประชุมเสียงข้างมากลงมติคว่ำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของพรรคก้าวไกล หลังจากที่ใช้เวลาพิจารณาวาระสองเรียงลำดับรายมาตรา กว่า 3 ชั่วโมง ด้วยมติไม่เห็นด้วย 177 เสียง ต่อ 173 เสียง และมีผู้งดออกเสียง 11 เสียง ไม่ลงคะแนน 4 เสียง

แต่ปรากฏว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นเสนอญัตติให้ขอให้นับคะแนนใหม่และลงมติใหม่ด้วยการขานชื่อ เนื่องจากคะแนนเสียงที่ลงมตินั้นมีการต่างกันไม่เกิน 25 เสียง ตามข้อบังคับการประชุมสภา

อย่างไรก็ตาม นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายคัดค้านการลงมติด้วยการขานชื่อเพราะจะเสียเวลาการประชุม และขอให้ยึดผลการลงคะแนนในวาระสามที่ผ่านพ้นไป ทว่าที่สุดแล้ว ที่ประชุมได้ใช้ข้อบังคับการประชุมให้มีการนับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ โดย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคพลังปวงชนไทย ร่วมเป็นกรรมการนับคะแนน