
พิธา โวย รัฐบาลไฟเขียวแก้กฎกระทรวง ปลดล็อกคราฟต์เบียร์-สุราพื้นบ้าน เพราะต้องการคว่ำกฎหมายสุราก้าวหน้า ของก้าวไกล เชื่อไม่ตอบโจทย์แก้ทุนผูกขาด
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึง มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในเหลักการร่างกฎกระทรวง การอนุญาตผลิตสุรา พ.ศ. …. ว่า
- จับตาธุรกิจเลิกจ้าง ปิดกิจการ ส่งออกสะดุด-บริษัทยักษ์ย้ายฐาน
- เปิดความเป็นมาองคมนตรี 18 คน อำนาจหน้าที่และการดำรงตำแหน่ง
- โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นองคมนตรีคนใหม่ มีผลทันที
มติดังกล่าวไม่เข้าใจจุดประสงค์ของ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าเลย การที่มีมติอนุมัติหลักการ ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตผลิตสุรา พ.ศ. …. ปลดล็อกการผลิตเพี่อการค้าและการผลิตเพื่อบริโภค ควบคู่กับการคุ้มครองสินค้าสุราให้ได้คุณภาพมีมาตรฐานและความปลอดภัยต่อสุขภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม แทนที่จะมีมติเห็นชอบพ.ร.บ.สุราก้าวหน้า
ชัดเจนว่าเป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ ถึงนายคุณวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะบอกว่าไม่ได้ปาดหน้า พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล และอ้างว่าทำมานาน 6 เดือน ก่อนสุราก้าวหน้าก็ตาม ตนต้องขอยืนยันว่า หากจะอ้างเหตุผลเช่นนี้ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล ทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว
และทางพรรคได้ยื่นร่างกฎหมายฉบับนี้มาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ไม่ถูกยุบ และก่อนหน้าที่จะยื่นก็มีการเรียกกรมสรรพสามิตในคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งนายเท่าพิภพป็นกรรมาธิการอยู่หลายครั้ง แต่ก็มีแต่คำสัญญาว่าจะแก้ไขและก็เงียบหายไป จึงต้องใช้ช่องทางในเชิงนิติบัญญัติเพื่อแก้ปัญหา
“ชัดเจนว่าการมีมติ ครม.ก่อนการลงมติ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าออกมาเพียง 1 วัน เป็นการจงใจเพื่อให้ ส.ส. รัฐบาลอภิปรายเป็นเหตุผลกับสภาว่า พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎกระทรวงออกมาแล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้ว พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ยังคงจำเป็นในการประกันหลักเสมอภาคในการแข่งขันทางธุรกิจของประชาชน เนื่องจากเป็นกฎหมายลำดับชั้นสูงกว่าที่แก้ยากกว่ากฎกระทรวง ซึ่งตนเองก็ได้เตรียมตอบทุกข้อสงสัยในสภาอยู่เเล้ว” นายพิธากล่าว
นายพิธากล่าวว่า ตนได้ดูรายละเอียดกฎกระทรวงดังกล่าวตอนเปิดรับฟังความคิดเห็นเมื่อสัปดาห์ก่อนในเว็บไซต์กรมสรรพสามิต และคิดว่าน่าจะใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่คิดว่าเสร็จสิ้นเร็วขนาดนี้ รู้สึกว่าพี่น้องประชาชนและพรรคก้าวไกลโดนหลอกมาตั้งนาน ที่แท้กฎกระทรวงก็แก้ไม่ยากอย่างที่อ้าง และเมื่อดูรายละเอียดมีการปลดล็อกกำลังการผลิตก็จริง แต่ก็มีการใส่ข้อจำกัดอื่น ทำให้ไม่ใช่การปลดล็อกการผลิตสุราให้รายย่อยจริง
แม้จะยกเลิกการกำหนดจำนวนทุนจดทะเบียน และกำลังการผลิตขั้นต่ำออกทั้งหมด แต่ก็มีการมาตรการเรื่องระเบียบต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรมโรงงาน เช่น กรณีโรงอุตสาหกรรมสุราแช่ชนิดเบียร์ประเภทผลิตเพื่อขาย ณ สถานที่ผลิต หรือที่เราเรียกกันว่าบริวผับ (Brewpub)
กฎกระทรวงฉบับใหม่ กำหนดให้ต้องเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ซึ่งก็คือ จะต้องมีเครื่องจักรมากกว่า 50 แรงม้า หรือคนงานมากว่า 50 คน ทั้งที่แต่เดิมบริวผับขนาดเล็กที่มีเครื่องจักรน้อยกว่า 50 แรงม้าและจำนวนคนงานน้อยกว่า 50 คน ก็จะไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ใบ รง.4)
แต่กฎหมายใหม่เข้าใจว่าเร่งรีบก็เลยเขียนสั้น ๆ ไปเลยว่าต้องเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ทำให้เกิดปัญหาในทางปฎิบัติขึ้นได้ว่าบริวผับขนาดเล็กที่มีเครื่องจักรจำนวนไม่มาก จะขอใบโรงงานได้ยังไงเพราะไม่เข้าเกณฑ์เป็นโรงงานอยู่แล้ว อาจจะทำให้รายย่อยหลุดออกจากตลาดไปอีก
การออกกฎกระทรวงนี้ไม่ได้ตอบโจทย์การปลดปล่อยอุตสาหกรรมสุราจากทุนผูกขาดที่เเท้จริง เเละยังเป็นเครื่องพิสูจน์อีกครั้งว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้สนใจประชาชน เเค่กลัวเสียหน้า กลัวขัดผลประโยชน์นายทุน ที่ พ.ร.บ.สุราก้าวหน้าจะผ่านในวันพรุ่งนี้เท่านั้น