ปิยบุตร รุกพรรคก้าวไกล ต้องปรับวิธีสู้เลือกตั้ง ล้างบัญชีผู้อาวุโส

ปิยบุตร แสงกนกกุล

ปิยบุตร เลกเชอร์ ก้าวไกล ปรับวิธีสู้เลือกตั้ง สร้างโมเดล ส.ส.แบบก้าวไกล ทิ้งบอมบ์ ใส่ ผู้บริหารพรรค ต้องล้างบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ ไม่ต้องมีบัญชีอาวุโส หวั่น มีปู่โสมเฝ้าทรัพย์

วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุในเฟซบุ๊กถึงพรรคก้าวไกลกับการเลือกตั้ง 2566 เมื่อมีการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งมาเป็นระบบบัตร 2 ใบ ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน แยกการคำนวณออกจากกัน และยกเลิกการนับคะแนนแบบตกน้ำ ตอนหนึ่งว่า เมื่อระบบเลือกตั้งเปลี่ยนไปคล้ายแบบปี 2544/2548 ที่ ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน

โดยแยกการคำนวณขาดออกจากกัน น้ำหนักคะแนนที่ส่งผลต่อจำนวนที่นั่ง ส.ส. ก็ไปอยู่ที่เขตเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลอาจได้คะแนนรวมทั่วประเทศไม่น้อยกว่าที่พรรคอนาคตใหม่ได้ในปี 2562 แต่เมื่อพิจารณารายเขต อาจมีหลายเขตที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนจำนวนมาก แต่ไม่มากพอที่จะได้ลำดับที่ 1 ในเขตเลือกตั้งนั้น และคะแนนเหล่านั้นทั้งหมดต้องถูก “ทิ้งน้ำ” ไป

ในฐานะพรรคการเมืองในระบบ พรรคก้าวไกลต้องพร้อมต่อสู้กับการเลือกตั้ง ต้องพร้อมปรับวิธีการต่อสู้ในทุกระบบการเลือกตั้ง หากพิจารณาเฉพาะเรื่องคะแนนเสียง เดิมพันของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งถัดไป ก็คือ

หนึ่ง การได้คะแนนรวมทั่วประเทศมากกว่าพรรคอนาคตใหม่ได้ในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนรวมทั่วประเทศประมาณ 6.3 ล้านเสียง การเลือกตั้งในปี 2566 พรรคก้าวไกลต้องทำให้ได้มากกว่าเดิม

ส่วนจะคำนวณเป็น ส.ส.แล้วได้กี่ที่นั่งนั้น แน่นอนว่าจำนวนน้อยลงกว่าเดิมอยู่แล้ว เพราะระบบเลือกตั้งเปลี่ยนไป แต่อย่างน้อย ๆ พรรคก้าวไกลต้องทำให้ได้คะแนนรวมทั่วประเทศมากกว่าครั้งก่อน ไปให้ถึงร้อยละ 20 หรือร้อยละ 25 เพื่อยืนยันว่า ยังมีผู้นิยมแนวทางของพรรคก้าวไกลอยู่ถึง 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 4 ของประเทศ แม้กลไกรัฐจะพร้อมใจกันบดขยี้พรรคอย่างต่อเนื่อง แต่พรรคก็ยังสามารถยืนระยะต่อไปได้

“การเลือกตั้งครั้งที่สองสำคัญกว่าการเลือกตั้งครั้งแรก ครั้งแรก หากไม่ได้ตามเป้า ได้มาน้อย เรายังอธิบายได้ว่าเราเป็นพรรคใหม่ กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ผู้คนก็พอจะเข้าใจและเอาใจช่วยต่อไป แต่ครั้งที่สอง หากไม่ได้ตามเป้า คะแนนรวมทั้งประเทศน้อยลงกว่าเดิม สิ่งซึ่งจะตามมา จะมีมากมายสารพัด ไล่ตั้งแต่ ข้อวิจารณ์ว่าแนวทางที่พรรคใช้นั้นผิดพลาด นโยบายหาเสียงก้าวหน้าเกินไป ยุทธศาสตร์การสื่อสารผิดพลาด ความขัดแย้งกันในหมู่แกนนำและผู้สมัคร ส.ส.ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง ความท้อแท้สิ้นหวัง เป็นต้น”

นายปิยบุตรยังระบุอีกว่า พรรคก้าวไกลต้องพิสูจน์ให้ได้ในการเลือกตั้ง 2566 ว่า ประเทศนี้ สังคมนี้ ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกล

สอง การเพิ่มจำนวน ส.ส.เขตให้มากขึ้น พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส.เขต 30 ที่นั่ง เกจิอาจารย์กูรูทางการเมืองต่างบอกว่านี่คือเซอร์ไพรส์ ผู้สมัครที่ไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน ไม่เคยลงเลือกตั้ง ไม่มีเครือข่ายหัวคะแนน แต่สามารถใช้ “กระแส” ของธนาธร จนชนะในเขตเลือกตั้งได้ถึง 30 คน

ถึงกระนั้น ก็มีบางฝ่ายเห็นว่าส่วนหนึ่งมาจากอานิสงส์ที่พรรคอนาคตใหม่ได้รับจากกรณีพรรคไทยรักษาชาติถูกยุบพรรค ทำให้หลายเขต ไม่มีผู้สมัครทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคไทยรักษาชาติ ทำให้ประชาชนหันมาเลือกพรรคอนาคตใหม่แทน การเลือกตั้งในปี 2566 คงไม่มีอุบัติเหตุแบบกรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ และทุกพรรคการเมือง “เอาจริง” ไม่มีใครประมาทพรรคก้าวไกลอีกแล้ว

การต่อสู้ในระบบแบ่งเขต 400 คน จะเข้มข้นมากกว่าเดิม แต่ละพรรคมุ่งหวังกับการมี ส.ส. เขต เพราะ หากไปลุ้นบัตรใบที่สองให้มี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ก็ไม่มีหลักรับประกันแน่นอนว่าจะได้หรือไม่ ได้มาจำนวนเท่าไร ประกอบกับพรรคเพื่อไทยชูคำขวัญ “แลนด์สไลด์” ย่อมทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาล ไม่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีชื่อประยุทธ์อีกต่อไป แม้พวกเขาอาจเอาใจช่วยพรรคก้าวไกลอยู่ แต่ก็พร้อมที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นว่า มีความเป็นไปได้มากกว่าที่พรรคเพื่อไทยจะชนะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

“หากไม่เทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย สุดท้าย เราจะไม่ได้เปลี่ยนรัฐบาล ไม่ได้เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี
ปัจจัยเหล่านี้ ย่อมทำให้ การต่อสู้ในเขตเลือกตั้งรอบนี้ พรรคก้าวไกลเหนื่อยกว่าพรรคอนาคตใหม่หลายเท่า”

นายปิยบุตรแนะพรรคก้าวไกลว่า การเลือกตั้ง 2566 พรรคก้าวไกลมีเดิมพันสำคัญ นอกจากต้องมี ส.ส.เขตให้มากกว่าเดิมแล้ว ยังต้องสร้างโมเดล ส.ส.เขตแบบก้าวไกล ขึ้นมาให้ได้ ต้องทดลองสร้างโมเดล ส.ส.เขตในแบบก้าวไกลขึ้นมา มีลักษณะที่แตกต่างจาก ส.ส.เขตของพรรคอื่น ๆ แต่ก็พร้อมเข้าใจและสามารถทำงานกับวัฒนธรรมการเมืองแบบดั้งเดิมได้ด้วย

ส.ส.เขตแบบก้าวไกล ต้องมีส่วนผสมสองข้อ หนึ่ง ความขยันขันแข็งในการเข้าหาประชาชนในพื้นที่เขตเลือกตั้ง ทั้งนี้ ในเมื่อไม่มีเงิน ทรัพยากร อำนาจกลไกรัฐ ต้องทดแทนด้วยความขยัน มานะพยายามมุ่งมั่น เข้าถึงประชาชน ประชาชนเข้าถึงง่ายเดินพบปะพี่น้องประชาชนให้มาก ให้เวลากับพี่น้องประชาชน นำปัญหาของพี่น้องประชาชนมาติดต่อประสานหาหนทางช่วยเหลือ อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กร่าง ไม่เบ่ง เคารพประชาชน รับฟังประชาชน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน

และสอง มีความรู้ในงานนิติบัญญัติ งานสภา นโยบายพรรค และมีจุดยืนมั่นคงชัดเจนตามอุดมการณ์แนวทางพรรค ภารกิจของ ส.ส. คือ การตรากฎหมาย การอภิปราย การตรวจสอบรัฐบาล ส.ส.จึงไม่อาจเชี่ยวชาญเฉพาะในงานพื้นที่เขตเลือกตั้งได้เท่านั้น แต่ต้องทำงานในระดับชาติ มีภารกิจในภาพใหญ่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงประเทศด้วย

ผู้สมัคร ส.ส.เขตแบบก้าวไกลโมเดล ต้องหมั่นฝีกฝนค้นคว้าหาความรู้ในประเด็นต่าง ๆ ทั้งนโยบายพรรค ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์การเมืองไทย นโยบายสาธารณะ เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น กฎหมาย รัฐธรรมนูญ ติดตามข่าวสารให้ทันโลก ผู้สมัคร ส.ส.เขตแบบก้าวไกลโมเดล ต้องอภิปรายในสภาได้ มิใช่ ทำงานพื้นที่ดี แต่ไม่เคยพูดอะไรเลยในสภา

ผู้สมัคร ส.ส.เขตแบบก้าวไกลโมเดล ต้องยึดมั่นในแนวทางอุดมการณ์ของพรรค มิใช่ ย้ายพรรคทุกการเลือกตั้ง เพียงเพราะ ต้องการหาที่ลง ส.ส. หรือหาที่ให้ประโยชน์ทรัพยากรและอำนาจแก่ตนเอง สิ่งเหล่านี้ จะทำให้ ส.ส.เขตแบบก้าวไกลโมเดล มีจุดเด่นที่แตกต่างจาก ส.ส.เขตแบบเดิม และทดแทนสิ่งที่เราสู้เขาไม่ได้

ส่วน ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ผมมีความเห็นและข้อสังเกตฝากไปถึงแกนนำและผู้มีอำนาจตัดสินใจการคัดเลือกและจัดลำดับผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล 3 ประการ ดังนี้

ประการที่หนึ่ง set zero ลำดับใหม่ทั้งหมด การคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อต้องไม่ยึดกับลำดับบัญชีรายชื่อของพรรคอนาคตใหม่ตอนปี 2562 และต้องไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติให้ลำดับที่ดีแก่ผู้อาวุโสก่อน (ทั้งในแง่อายุ และในแง่เป็น ส.ส.ในปี 2562 มาก่อน)

การ set zero จึงช่วยเปิดโอกาสให้คนใหม่ ๆ ที่มีความรู้ความสามารถ ช่วยหาคะแนนให้พรรคได้มากขึ้น หากสร้างธรรมเนียม “ผู้มาก่อนได้ก่อน” ขึ้นมา เมื่อผ่านการเลือกตั้งไปหลายครั้ง ก็จะเกิด “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” นั่งทับลำดับต้นๆไว้ตลอด จนเหลือลำดับสำหรับคนใหม่ๆได้ไม่กี่คน แบบที่พรรคเก่าแก่หลายพรรคกำลังเผชิญปัญหาอยู่

ประการที่สอง ใช้หลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกและจัดลำดับ 5 ข้อ ได้แก่

1. การอุทิศตนให้พรรค เช่น การทำงานอย่างขยันขันแข็ง ไม่เกี่ยงงาน ไม่เทงาน การไปช่วยหาเสียงทั่วประเทศ ไปแล้วได้คะแนนเสียง มิใช่ไปแล้วสร้างภาระให้ผู้สมัครแบบแบ่งเขตและทีมงานในจังหวัดต่าง ๆ ความสามารถในการระดมทุนหรือทรัพยากรให้พรรค การขับเคลื่อนแบกพรรคได้ในภาพรวม มิใช่สร้างภาระให้พรรค หรือให้พรรคต้องตามแบกให้ เป็นต้น

2. ความสามารถในการทำงานทางการเมือง ได้แก่ มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานสภาและการบริหารราชการแผ่นดิน มีความรู้ความเชี่ยวชาญในประเด็นของตนเอง สามารถอภิปรายในที่สาธารณะ สามารถทำงานได้ด้วยตนเอง ริเริ่มด้วยตนเอง โดยไม่ต้องให้พนักงานพรรคมาแบกมาก

3. การเป็นตัวแทนประเด็นตามนโยบายหาเสียงของพรรค มีความนิยม มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในประเด็นต่าง ๆ

4. ประวัติ ความประพฤติ บุคลิกภาพ มีประวัติและความประพฤติดี สอดคล้องกับอุดมการณ์ core value ของพรรคที่ตั้งกันมาตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ เข้าสังคมได้ เข้ากับผู้อื่นได้ อ่อนน้อมถ่อมตนกับประชาชน

มี “ความเป็นนักการเมือง” อยู่ สามารถทำงานการเมืองในระยะเปลี่ยนผ่านซึ่งต้องเข้าใจโครงสร้างและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบที่เป็นอยู่ ทำงานภายใต้โครงสร้างและวัฒนธรรมการเมืองแบบนี้ได้ พูดคุยและเจรจากับนักการเมืองแบบดั้งเดิมได้ ต่างพรรคได้ โดยไม่เสียจุดยืน ความเป็นตัวตนของตนเอง ไม่ถูกกลืนกินความใหม่ และไม่สูญเสียเป้าหมายหลักของการเปลี่ยนแปลงประเทศ

มีทักษะการสื่อสาร ทั้งในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน และการสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ โพสต์สื่อสารในประเด็นสาธารณะ ประเด็นการทำงาน ประเด็นนโยบายพรรค ที่ตนเชี่ยวชาญและถนัด มิใช่โพสต์เรื่องส่วนตัว เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการทำงาน เล่นสนุกทุกวันจนเหมือนมิใช่นักการเมืองที่เข้ามาทำงานการเมืองเพื่อส่วนรวม แต่มาเป็นนักเล่นโซเชียลสนุกกับแฟนคลับมากกว่า

5.มีความคิดอุดมการณ์และแนวทางสอดคล้องกับพรรคก้าวไกล

ประการที่สาม รับฟังเสียงสะท้อนจาก ส.ส.เขต พนักงานพรรค และทีมงานเครือข่ายของพรรคทั่วประเทศ เพื่อป้องกันมิให้เกิด “สภาวะแปลกแยกภายในพรรค” ระหว่าง ส.ส.กับคนทำงานแบกพรรค และระหว่าง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อกับ ส.ส.เขต การกำหนดว่าใครมีโอกาสเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ควรต้องผ่านหูผ่านตา รับฟังความเห็นจากส่วนอื่นๆของพรรคด้วย

หากไม่มีกระบวนการเช่นนี้ ก็จะเกิดการตั้งคำถามจากคนทำงานในพรรคและ ส.ส.เขตตามมาว่า ทำไมเขาต้องทำงานแบกพรรค หาคะแนนให้พรรค เพื่อให้ใครก็ไม่รู้มาเป็น ส.ส.

“สำหรับ ส.ส.บัญชีรายชื่อรอบปี 2562 และผู้สมัครอื่น ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกอยู่ใน 25 ลำดับแรก ต้องย้อนกลับไปคิดตั้งแต่สมัยเริ่มต้นก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ทุกคนพูดกันว่า เราเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลง มิใช่เราเข้ามาเพราะอยากเป็น ส.ส. แต่เราต้องเป็น ส.ส.เพราะต้องมีอำนาจไปเปลี่ยนแปลงประเทศ งานการเมืองมิใช่อาชีพ ตำแหน่ง ส.ส. มิใช่สมบัติของใครคนใดหรือตระกูลใด การเป็น ส.ส.เพื่อเข้าไปเปลี่ยนแปลง มิใช่ “ยานพาหนะ” ที่ทำให้คนคนหนึ่งได้กลายเป็น “ชนชั้นนำอำมาตย์รายใหม่”

นายปิยบุตรทิ้งท้ายว่า ตนทราบดีว่าการคัดเลือกและการจัดลำดับผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เป็นประเด็นอ่อนไหว อาจนำมาซึ่งแรงกระเพื่อมภายในพรรค และอาจทำให้ผู้ผิดหวังไม่พอใจแกนนำผู้มีอำนาจในพรรคได้ แต่การปล่อยเรื้อรัง ไม่ตัดสินใจ มีแต่สร้างผลเสียให้กับทุกฝ่าย ส.ส.ปัจจุบันและผู้แสดงความจำนงขอสมัคร ไม่มีสมาธิในการทำงาน กังวลใจกับอนาคตทางการเมืองของตนเอง นานวันเข้า ก็เปิดทางให้มีการเล่นการเมืองภายในพรรคเพื่อแย่งลำดับบัญชีรายชื่อกัน

ในขณะที่พรรคจะไปทาบทามเชิญคนใหม่ ๆ เข้ามา ก็ไม่อาจทำได้อีก กว่าจะเคลียร์ภายในกันลงตัวแล้วค่อยไปทาบทาม ก็อาจสายเกินไปแล้ว ทำให้พรรคเสียโอกาสการมีคนใหม่ ๆ ที่สร้างกระแส ความนิยม และมีความรู้ความสามารถไป อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ อำนาจมาพร้อมกับความกล้าหาญ

ถ้าแค่เรื่องการคัดเข้า คัดออก จัดเรียงลำดับ ผู้นำพรรคยังไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่กล้าอธิบาย หรือกลัวเพื่อน ส.ส.ผิดหวัง ไม่รัก ไม่นิยม แบบนี้ จะคิดฝันเป็นรัฐมนตรี จะบริหารประเทศได้อย่างไร การตัดสินใจในทางการเมือง ในเรื่องสาธารณะ ย่อมมีผู้ได้ ย่อมมีผู้เสีย ย่อมมีผู้พอใจ ย่อมมีผู้ผิดหวัง เป็นธรรมดาอยู่แล้ว ผู้นำต้องทำหน้าที่ตัดสินใจในเรื่องยาก และต้องพร้อมรับผิดชอบ หากผู้นำไม่ทำ แล้วจะมีผู้นำไปทำไม