
พรรคการเมืองจึงเริ่มติดป้ายหาเสียง ขายนโยบายกันถ้วนหน้า ตั้งแต่ยังไม่สิ้นศักราช 2565
ทั้งหมดเป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจปากท้อง ที่จะเป็นปัจจัยที่จะชี้ขาดการเลือกตั้งในปี 2566
- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เริ่มใช้ 1 เม.ย.66 รับเงินคนละกี่บาทต่อเดือน เช็กที่นี่
- ยุบสภา บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ได้สิทธิ 1 เม.ย.ตามเดิมหรือไม่ คลังชี้แจงแล้ว
- ประกาศใหม่ ผลประโยชน์ตอบแทนบำเหน็จชราภาพ ผู้ประกันตน ม.33,39
พรรคเพื่อไทย โยนหินชิ้นใหญ่ลงกลางวง ประกาศนโยบายค่าแรง 600 บาท ปริญญาตรีเงินเดือน 2.5 หมื่นบาท ภายในปี 2570
พรรคก้าวไกล มิตรการเมืองร่วมทางเพื่อไทย ประกาศไล่เลี่ยกัน ถ้าเป็นรัฐบาลจะขึ้นค่าแรงเป็น 450 บาททันที ให้สวัสดิการเด็กเล็ก 1,200 บาททุกเดือน ให้เบี้ยผู้สูงอายุ 3,000 บาททุกเดือน
พรรคใหญ่-ใหม่ล่าสุด อย่าง พรรคภูมิใจไทย ประกาศนโยบายพักหนี้ ปลอดดอกเบี้ย 3 ปี รายละ 1 ล้านบาท นโยบายภาษีบ้านเกิดเมืองนอน โดยภาษีที่เสียไปจะต้องคืนให้กับบ้านเกิด 30% เพื่อนำมาเป็นงบประมาณบำรุงพัฒนาบ้านเกิด เพิ่มเบี้ยให้กับอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) 2,000 บาทต่อเดือน นอกเหนือจากนโยบายกัญชาเสรี
พรรคประชาธิปัตย์ ยังปักหลักที่นโยบายประกันรายได้พืชเศรษฐกิจสำคัญ 5 ชนิด ประกอบด้วย ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ทั้งนี้ นโยบายทั้งหมดยังต้องผ่านการกลั่นกรองจาก “ผู้กำกับการเลือกตั้ง” คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เพราะตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 เขียนบังคับแคมเปญหาเสียงเลือกตั้งไว้ในมาตรา 57 ว่า การกําหนดนโยบายของพรรคการเมืองที่ใช้ในการประกาศโฆษณาให้คํานึงถึงความเห็นของสาขาพรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองประจําจังหวัด นโยบายใดที่ต้องใช้จ่ายเงิน การประกาศโฆษณานโยบายนั้น อย่างน้อยต้องมีรายการ ดังต่อไปนี้
1.วงเงินที่ต้องใช้ และที่มาของเงินที่จะใช้ในการดําเนินการ 2.ความคุ้มค่าและประโยชน์ในการดําเนินนโยบาย 3.ผลกระทบและความเสี่ยงในการดําเนินนโยบาย
ในกรณีพรรคการเมืองไม่ได้จัดทํารายการให้ กกต.สั่งให้ดําเนินการให้ครบถ้วนและถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด
ถ้าไม่ทำตามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท และปรับอีกวันละ 1 หมื่นบาท ตลอดระยะเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
บวกกับ มาตรา 22 ของกฎหมายฉบับเดียวกัน บังคับให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมือง มีหน้าที่ควบคุมและกํากับดูแลมิให้สมาชิกกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กฎหมาย ข้อบังคับ รวมตลอดทั้งระเบียบ ประกาศ และคําสั่งของ กกต.
ถ้าไม่ปฏิบัติตาม นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอเรื่องต่อ กกต. เพื่อพิจารณามีคําสั่งให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้นพ้นจากตําแหน่งทั้งคณะ
คําสั่งดังกล่าวให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และห้ามมิให้กรรมการบริหาร พรรคการเมืองซึ่งพ้นจากตําแหน่งเพราะเหตุดังกล่าว ดํารงตําแหน่งใดในพรรคการเมือง จนกว่าจะพ้นเวลา 20 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตําแหน่ง
กรรมการบริหารพรรคการเมืองซึ่งพ้นจากตําแหน่ง มีสิทธิยื่นคําร้องคัดค้านคําสั่ง ของ กกต. ต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
กฎเหล็กตามกฎหมายพรรคการเมืองที่ดูเหมือนเข้มงวด แต่ถึงเวลาใช้จริงกลับป้องกัน “นโยบายประชานิยม” ไม่ได้
ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคภูมิใจไทยเคยทำหนังสือหารือ กกต. ถึงกำหนดนโยบายที่ต้องใช้จ่ายเงิน จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 57 ครบทั้ง 3 ข้อ โดยศึกษารวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องและกำหนดขึ้นได้เอง หรือต้องมีผลงานทางวิชาการหรือผลการวิจัยในเรื่องนั้น ๆ มารับรอง ทาง กกต.ได้ตอบข้อซักถามเมื่อ 20 มกราคม 2562 ว่า “พรรคภูมิใจไทยจะใช้วิธีการใดวิธีการหนึ่งตามที่สอบถามมาก็ได้”
นอกจากนี้ ภูมิใจไทยยังถามอีกว่า ก่อนโฆษณานโยบายเพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง พรรคต้องจัดส่งนโยบายดังกล่าวให้ กกต.พิจารณาตรวจสอบก่อนหรือไม่
กกต.ได้ตอบข้อซักถามดังกล่าวว่า “ไม่มีกฎหมายกำหนดให้พรรคการเมืองจะต้องแจ้งนโยบายที่จะใช้ในการประกาศโฆษณา เพื่อใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งต่อ กกต.พิจารณาตรวจสอบก่อนดำเนินการโฆษณา ดังนั้น พรรคภูมิใจไทยสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องแจ้งต่อ กกต.ก่อนดำเนินการ”
กกต.เปิดช่องแคมเปญประชานิยม