ครม.ขยายเวลาบริจาค 13 มูลนิธิสาธารณสุข ผ่านระบบ e-Donation ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า จนถึงสิ้นปี 2567
วันที่ 25 มกราคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2566 ว่า ครม.อนุมัติร่างกฎหมายขยายระยะเวลามาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการบริจาคด้านสาธารณสุข โดยออกเป็นร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
ร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่หน่วยรับบริจาคด้านสาธารณสุข รวม 13 แห่ง (จากหน่วยรับบริจาคเดิม 10 แห่ง) เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร มีรายละเอียด ดังนี้
1. หน่วยรับบริจาคทั้ง 13 แห่ง ประกอบด้วย หน่วยรับบริจาคเดิม 10 แห่ง ได้แก่
-
- สภากาชาดไทย
- มูลนิธิภัทรมหาราชานุสรณ์ฯ
- ศิริราชมูลนิธิ
- มูลนิธิจุฬาภรณ์
- มูลนิธิโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ
- มูลนิธิโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนฯ
- มูลนิธิโรคมะเร็ง โรงพยาบาลศิริราช
- มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี
- มูลนิธิสมเด็จพระปิ่นเกล้า
- มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ
และเพิ่มเติมหน่วยรับบริจาคใหม่ 3 แห่ง ได้แก่
-
- มูลนิธิโรงพยาบาลสวนดอก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- มูลนิธิสนับสนุนสถาบันประสาทวิทยา
- มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก
2. การยกเว้นภาษีเงินได้ แบ่งเป็น
-
- บุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนเป็นจำนวน 2 เท่าของจำนวนเงินที่บริจาค
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับเงินได้เป็นจำนวน 2 เท่า ของรายจ่ายที่บริจาคไม่ว่าจะได้จ่ายเป็นเงินหรือทรัพย์สิน
3. บุคคลธรรมดา หรือบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการโอนทรัพย์สิน หรือการขายสินค้า หรือสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการบริจาคให้แก่หน่วยรับบริจาคทั้ง 13 แห่ง
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า มาตรการทางภาษีนี้จะทำให้ภาครัฐจัดเก็บภาษีลดลงประมาณปีละ 370 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเปิดโอกาสให้ประประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบบริการด้านสาธารณสุขของประเทศ