ดีลบิ๊กเซอร์ไพรส์ระหว่างกลุ่มสี่กุมาร อุตตม-สนธิรัตน์ และนายสมคิด ที่ปรึกษาทางใจกับพรรคพลังประชารัฐ เป็นปรากฏการณ์ “ช็อก” ตั้งแต่ต้นปีเลือกตั้ง 2566
เครื่องหมายคำถาม คือ หลังจากนี้พรรคสร้างอนาคตไทยจะไปต่ออย่างไร หรือ จะไม่มีชื่อ “พรรคสมคิด” อยู่ในสมรภูมิการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึงอีกไม่เกิน 4 เดือน
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
“สันติ กีระนันทน์” อดีตรองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ที่เหลือเพียงสถานะสมาชิกพรรคที่พอจะ “ทำใจได้แล้ว” ยอมรับว่าหลังจากนี้ต่อไปพรรคสร้างอนาคตไทยคงจะเป็น “พรรคร้าง”
เมื่อนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ ลาออกจากหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทยและมาเปิดตัวกับพรรคพลังประชารัฐ ส่งผลให้กรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรค “พ้นทั้งคณะ”
หลังจากนี้ “กก.บห.รักษาการ” ต้องเรียกประชุมเลือก “กก.บห.ชุดใหม่” แต่คำตอบจากปลายสาย คือ “ไม่ทำอะไร ทำไม่ได้ เราไปซื้อหัวมา ถ้าคนที่ซื้อหัวมาไม่ให้ทำอะไรก็ต้องไม่ทำอะไร” รอจนกว่าจะถึงเดือนเมษายนค่อยประชุมใหญ่ทีเดียว
เมื่อไม่สามารถเปิดประชุมใหญ่เพื่อเลือกกก.บห.ชุดใหม่ได้–คณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ไม่มี ทำให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคสร้างอนาคตไทย 50-60 ชีวิต ที่อยู่ในบัญชีผู้สมัคร ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะถูก “ลอยแพ”
การเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่มีชื่อพรรคสร้างอนาคตไทย !
ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคสร้างอนาคตไทยออกมาแฉว่า ภายหลังนายอุตตมและนายสนธิรัตน์ลาออกจากสมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทยและไปเปิดตัวกับพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 แล้ว ได้เรียกผู้สมัครภาคอีสาน ผู้สมัคร กทม.และภาคกลาง ซึ่งผู้สมัคร กทม.รายหนึ่งถามว่า หากต้องการลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคสร้างอนาคตไทยได้หรือไม่ โดยได้รับคำตอบจากนายสนธิรัตน์ว่า “สร้างอนาคตไทยจะไม่มีกิจกรรมทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า”
จึงเป็นการส่งสัญญาณว่า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคสร้างอนาคตไทยต้องหาพรรคใหม่เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้า ซึ่งขณะนี้แกนนำ-อดีตแกนนำพรรคสร้างอนาคตไทยที่พอจะมีคอนเน็กชั่นได้หาที่-หาทางให้ว่าที่ผู้สมัคร กทม.ทั้ง 33 คนเรียบร้อยแล้ว
สำหรับนโยบายของพรรคสร้างอนาคตไทยที่เป็น “มรดกชิ้นสุดท้าย” อดีตหัวหน้านโยบายพรรคได้โพสต์ลงในพื้นที่สาธารณะ เพื่อที่อย่างน้อยที่สุด คือ การทิ้งไว้เป็นหลักฐานไว้ว่ามีแนวคิดอย่างไร และหากมีโอกาสก็จะนำไปใช้ต่อไป หรือ ใครจะนำไปใช้ก็ได้ถ้าเห็นว่านโยบายเป็นประโยชน์
“อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พลังประชารัฐ” ยอมทิ้งต้นทุนทางการเมือง-ลาออกจากสภาเพื่อมาร่วมทำพรรคสร้างอนาคตไทย แต่เขาไม่คิดว่าเป็นการตัดสินใจผิด เพราะการทำอะไรย่อมมีต้นทุนสูง-ราคาค่างวดที่ต้องจ่าย
“อย่างน้อยก็มีประสบการณ์สร้างพรรคการเมือง ได้รู้ว่าองค์ประกอบในการทำพรรคการเมืองดี ๆ หนึ่งพรรคควรจะทำอย่างไร และควรจะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดอย่างไรบ้าง”
ที่แน่ ๆ คนที่มาล่มหัวจมท้ายด้วยกันต้องไม่ปิดบัง มองตารู้ใจ มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน ไม่มีวาระซ่อนเร้น แต่ถ้าไม่มีอุดมการณ์เลย หวังแค่ตำแหน่งทางการเมือง พังตั้งแต่เริ่มคิด” นายสันติทิ้งข้อความสุดท้ายก่อนจะไปลาออกสมาชิกพรรค
เบื้องหลัง “ดีลล่ม” ระหว่างพรรคสร้างอนาคตไทยกับพรรคไทยสร้างชาติ เพราะมี “เงื่อนไข” ทางกฎหมายจึงไม่สามารถ “ควบรวม” เป็น “พรรคใหม่” ด้วยวิธีการ “ต่างคนต่างถอย” เพราะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป
ทำให้ต้องมีพรรคใดพรรคหนึ่ง “ยอมเสียสละ” เลิกพรรค ภายใต้เงื่อนไขต่อรอง-ข้อตกลง เรื่องตำแหน่งหัวหน้าพรรค-เลขาธิการพรรค กก.บห.พรรค ตลอดจนการจัดตัว ผู้สมัคร ส.ส.ของทั้งสองพรรคลงในพื้นที่ไม่ให้ทับเส้น-ทับซ้อนกัน
ข้อสรุปในการเจรจารอบแรก-ยอมรับได้ คือ ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นของพรรคไทยสร้างไทย ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคเป็นของพรรคสร้างอนาคตไทย
ส่วนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คุณหญิงสุดารัตน์ กับ นายสมคิด เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีทั้งสองคน หลังจากนั้นก็มีการทำงานร่วมกันของทั้งสองพรรค
ทว่า “เงื่อนไขถูกเปลี่ยน” ตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการต้องเป็นของพรรคไทยสร้างไทย หลังจากพรรคสร้างอนาคตไทย “ยอมถอย” ยอมลาออกจากสร้างอนาคตไทยเพื่อไปอยู่กับพรรคไทยสร้างไทย
มิหนำซ้ำยังไม่มีอะไรเป็นเครื่องรับประกันว่า “ชื่อพรรค” จะเป็นการพบกัน “คนละครึ่งทาง” ตามที่โยนหินถามทาง ทั้ง “พรรคสร้าง” หรือ “พรรคสร้างอนาคต” เพื่อให้ภาพออกมาเสมือนว่าเป็นการ “ควบรวมพรรค” ไม่ใช่เป็นการ “ซบ” มากกว่า
ฟ้าผ่า วันที่ 11 มกราคม 2566 คีย์แมนของพรรคสร้างอนาคตไทย นายอุตตม นายสนธิรัตน์ นายสันติ นายวัชระ กรรณิการ์ และนายวิเชียร ชวลิต ถก-เถียงกันอย่างหนัก มติเสียงข้างมากสรุปว่า “ถอยเพียงข้างเดียว-ถอยจนไม่มีที่จะถอย”
นำไปสู่การลาออกจากทุกตำแหน่งในฝ่ายบริหารของนายสันติ เหลือเพียงสถานะสมาชิกพรรค ขณะที่นายวิเชียรก็หลบฉาก แม้นายอุตตมจะขอร้องให้ไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
แม้เงื่อนไขที่ทำให้ “คู่เจรจา” ทั้งสองพรรคให้เหตุ-ผลถึงความจำเป็นในการควบรวมเพราะว่า ไม่ให้กลายเป็น “พรรคต่ำสิบ” แต่ผลการเจรจา พรรคสร้างอนาคตไทยกลับต้องยอม “ทุกทาง” ให้กับพรรคไทยสร้างไทย
ดีลพรรคสร้างอนาคตไทยกับไทยสร้างไทย “ไม่ลงตัว” ถูกเฉลยเมื่อปรากฏภาพนายอุตตมกับนายสนธิรัตน์ ร่วมเฟรมกับ พล.อ.ประวิตร ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ท่ามกลางข้อเคลือบแคลง-ความลับตลอดกาลว่า “ดีลกับทหาร”
ปิดฉากดีลมหากาพย์ พรรค 2 ส.–ปิดตำนานกลุ่มสี่กุมารและทางปรึกษาทางใจ