ประยุทธ์ยันเศรษฐกิจดี การเงินการคลังแข็งแกร่ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

นายกฯยันเศรษฐกิจประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี การคลังแข็งแกร่ง หลายประเทศสนใจลงทุน 

วันที่ 6 มิถุนายน 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า วันนี้เป็นการประชุม ครม.ตามปกติ โดยที่ประชุมมีการพิจารณาวาระเพื่อทราบหลายเรื่องที่อยู่ในอำนาจรัฐบาลรักษาการ ซึ่งเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและเศรษฐกิจระหว่างประเทศถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และสถานะการเงินการคลังของเราก็แข็งแกร่ง

ซึ่งหลายประเทศก็ให้ความสนใจประเทศไทยในการเข้ามาลงทุน เพราะถือเป็นศูนย์กลางการลงทุนในภาคอาเซียน เราเดินหน้านโยบายมาโดยตลอด จากนโยบายของตนคือการสร้างความสมดุลให้ได้ ไม่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของใครทั้งสิ้น โดยมีความร่วมมือการค้าการลงทุนในเชิงสร้างสรรค์ให้ได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง เริ่มเปิดทดลองวิ่งแล้วเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเปิดเรียบร้อยทุกสถานีแล้วตนจะไปร่วมเป็นประธานเปิดอย่างเป็นทางการ และร่วมทดลองนั่งด้วย ก็เห็นว่ามีประชาชนขึ้นไปใช้บริการวันละหลายหมื่นคน นี่คือการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานของเราที่คืบหน้าทุกเรื่อง

ส่วนการยกเลิกการส่งกระแสไฟฟ้าข้ามแม่น้ำเมยไปยังพื้นที่การลงทุนขนาดใหญ่ของชาวจีน ที่บ้านส่วยโก๊กโก่ เขตอิทธิพลทหารกะเหรี่ยงพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) หลังจากที่ฝ่ายรัฐบาลเมียนมาได้แจ้งไม่ต่อสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าว และขอให้ทางการไทยงดจ่ายกระแสไฟฟ้าทันทีว่าเป็นเรื่องกิจการภายในของประเทศเมียนมา เกี่ยวกับการสัมปทาน อย่าไปยุ่งเรื่องเขาเลย เรามีหน้าที่ดูแลชายแดนให้ดีก็แล้วกัน

เมื่อถามถึงกรณีสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงค่าแรงขั้นต่ำ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของท่านที่จะพูดอะไรก็ได้ ซึ่งเป็นคนละประเทศกับเรา จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่ ในส่วนของรัฐบาลก็ยังดูแลในเรื่องของแรงงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายของเรา เพราะเรามีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงงานจากต่างประเทศ

ไม่อยากเรียกเขาว่าต่างด้าว แต่ขอเรียกว่าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เราควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน เนื่องจากโรงงานในประเทศเราใช้แรงงานในส่วนนี้เป็นจำนวนมาก ที่อาจไม่ต้องใช้ฝีมือมากนัก ในส่วนของเราเองมีการพัฒนาฝีมือแรงงานมากพอสมควร เพื่อส่งออกไปทำงานในต่างประเทศให้มีรายได้ที่สูงขึ้น ในขณะที่ภายในประเทศของเราเองก็มีการขึ้นค่าแรงตามฝีมือแรงงานของแต่ละคน ซึ่งมากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ