
พิธา-ชัยธวัช ประสานเสียง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับก้าวไกล เป็นการถอนฟืนจากกองไฟ ให้ความยุติธรรมเดินหน้าต่อ “ชัยธวัช” ลั่น การออกแบบรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องไม่กีดกันคนเห็นต่าง ไม่มองว่าเป็นตัวปัญหา
วันที่ 6 ตุลาคม 2566 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการรำลึกเหตุการณ์ 47 ปี 6 ตุลา 2519 ว่า เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 เป็นบทเรียนที่เราไม่ควรลืมว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 47 ปีที่แล้วเป็นความรุนแรงที่ไปไกลเกินกว่าที่ใครควรจะรับได้ ที่คนในรุ่นปัจจุบันควรต้องถอดบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้น
พร้อมศึกษาและทำความเข้าใจจากหลักฐานที่มีมากขึ้นในวันนี้ ให้เห็นถึงมุมองที่แตกต่าง ว่ามีโครงสร้างอะไรบางอย่างที่ต้องการทำให้เราลืมเหตุการณ์ในครั้งนี้เพื่อทดแทนด้วยความว่างเปล่า
หลายปีที่ผ่านมามีความพยายามสะสางประวัติศาสตร์ข้อเท็จจริงมาโดยตลอด แม้จะยังไม่มีผลสรุปว่าใครต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 47 ปีที่แล้ว แต่ในอีกด้านหนึ่งเราก็เห็นได้ว่าคนรุ่นนี้เข้าถึงความจริงที่มีคนพยายามปกปิดมาตลอดมากกว่าคนรุ่นตนมากแล้ว
ว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมพรรคก้าวไกลจึงพยายามทำงานเพื่อทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 47 ปีที่แล้วไม่เกิดขึ้นอีกในสังคมไทย ด้วยการยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ให้เป็นการถอนฟืนออกจากกองไฟ ไม่ให้เกิดความแตกแยกที่ไม่จบสิ้น ให้เกิดการสืบหาข้อเท็จจริง เกิดความยุติธรรม และให้สังคมเดินหน้าต่อไปได้
ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า วาระ 47 ปี เราไม่ควรพูดถึงเพียงแค่การรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเท่านั้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตยังคงสะท้อนปัญหาทางการเมืองในสังคมไทยที่ยังเป็นโจทย์ตกค้างมาถึงปัจจุบันหลายเรื่อง เช่น สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออกทางการเมือง
ระบบกฎหมายและอำนาจรัฐต้องเคารพชีวิตและร่างกายของประชาชน ไม่ให้อำนาจใดมาพรากชีวิตและร่างกายของประชาชน
ยังไม่นับว่าในสถานการณ์ปัจจุบันยังมีคนถูกดำเนินคดีอย่างรุนแรง จำคุก และละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน เพียงเพราะความคิดเห็นทางการเมืองหลายพันคน
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พรรคก้าวไกลตัดสินใจยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้กับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด สืบเนื่องจากความเห็นทางการเมือง นับตั้งแต่วันแรกที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมมาจนถึงปัจจุบัน ที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองยังยืดเยื้อไม่จบสิ้น ต่างฝ่ายต่างคิดว่าตัวเองเจตนาดี แสดงความคิดเห็นและชุมนุมเพื่อสร้างสังคมที่ดีในมุมของตัวเอง แต่เกิดความขัดแย้งมาจนไม่มีทางออกขนาดนี้
ประตูบานแรกที่จะนำไปสู่การหันหน้ามาคุยกัน ตั้งต้นใหม่ทางการเมืองตามเป้าหมายของรัฐบาลในการสร้างความปรองดอง ก็คือการคืนความยุติธรรม ทำให้ทุกฝ่ายลดกำแพงมาพูดคุยกัน ใช้กระบวนการประชาธิปไตยแสวงหากติกาการเมืองแบบใหม่ที่เรายอมรับที่จะอยู่ร่วมกัน
“พรรคก้าวไกลเชื่อว่ากระบวนการนิติบัญญัติในสภาจะเป็นพื้นที่ให้เราเอาความเห็นที่ไม่ตรงกัน มาออกแบบร่วมกันด้วยความรอบคอบ รอบด้าน มีวุฒิภาวะ และมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตย ที่พรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน รวมทั้ง สว.มีความเห็นที่เป็นจุดร่วมกันได้
ดังนั้น ตนจึงขอเชิญชวนให้ทุกฝ่ายมาพิจารณาร่วมกัน เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมในฉบับของตัวเองขึ้นมาด้วยก็ได้ ผ่านวาระหนึ่งแล้วค่อยไปว่ากันในรายละเอียดที่เห็นต่างกันในวาระที่ 2 และ 3 ได้” นายชัยธวัชกล่าว
นายชัยธวัชยังกล่าวถึงกรณีที่ไม่เข้าร่วมตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางทำประชามติ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 ว่า พรรคก้าวไกลมีจุดยืนที่ชัดเจนที่ต้องการให้เกิดการทำประชามติ ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ที่มาจาก สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง แต่แม้พรรคก้าวไกลจะไม่ได้ร่วมเป็นกรรมการ พรรคก้าวไกลก็ยังคงยินดีที่จะเสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการในทางต่าง ๆ ที่ทำได้
ทั้งนี้ ตนเห็นว่าสิ่งที่พึงระวังสำหรับรัฐบาลก็คือ ท่ามกลางความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดหลายขั้ว ถ้าจัดการไม่ดีอาจมีแนวโน้มนำไปสู่ความรุนแรงได้ในอนาคต เมื่อรัฐบาลมีอำนาจแล้วต้องใช้อย่างระมัดระวัง ควรเปิดพื้นที่ให้กับทุกฝ่ายทุกความคิดได้มีพื้นที่ปลอดภัยในการเอาความคิดเห็นมาเสนอ สุดท้ายเสียงส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เห็นด้วยทุกฝ่าย แต่ทุกฝ่ายต้องมีส่วนร่วมในการจัดระบบทางการเมืองโดยไม่มีใครถูกกีดกัน
ข้อเสนอของพรรคก้าวไกลอยู่บนพื้นฐานวิธีคิด ว่าการออกแบบรัฐธรรมนูญใหม่จะต้องไม่กีดกันกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกไป ต้องมีพื้นที่ปลอดภัยในทางการเมืองให้ทุกความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เสียงส่วนใหญ่ได้ข้อสรุปอย่างไรก็ต้องเห็นตามนั้น รัฐบาลไม่ควรมีท่าทีว่าใครที่ต้องการเสนอความคิดเห็น หรือจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง โดยยึดในหลักการที่ถูกต้อง คือคนที่เป็นชนวนความขัดแย้งหรือตัวปัญหา