เศรษฐา อัพเดตงาน 10 เดือน ตั้งเป้ายกระดับเป็นประเทศรายได้สูง

ภาพจาก : มติชน

เศรษฐาอัพเดตทุกผลงานตลอด 10 เดือน เดินหน้ายกระดับราคาสินค้าเกษตร-แก้หนี้ ลดดอกเบี้ย-ดึงลงทุน ตั้งเป้าสู่สังคมรายได้สูง

วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ที่พรรคเพื่อไทย ในงาน ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวในหัวข้อ “4 ปีรัฐบาลเปลี่ยนประเทศ เติมประเทศไทยให้เต็ม 10” ตอนหนึ่งว่า หลังจากเราตั้งรัฐบาล 314 เสียงแล้ว มีความมั่นคง มีความมุมานะ ทำงานร่วมกัน ดูแลประชาชนทุกคนอย่างทั่วถึง และทำเต็มที่เท่าที่จะสามารถทำได้ ตนคิดว่า 10 เดือนที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์

การที่เราไม่เสียโอกาส 10 เดือนที่ผ่านมา พอเข้าเป็นรัฐบาลก็เจอหน้าฝน ได้ลงพื้นที่กับนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย กับ สส.ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ในอดีตมีน้ำท่วมตลอดเวลา ท่วมครั้งหนึ่งเป็นเดือน จึงพูดคุยกับกรมชลประทาน และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ แม้อยู่คนละพรรค แต่ก็มีการประสานงานกันได้ด้วยดี เพื่อดูเรื่องชลประทานให้ดียิ่งขึ้น ปีนี้ (2567) จ.อุบลฯ น้ำไม่ท่วม แม้เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เราใส่ใจรายละเอียด

นายเศรษฐากล่าวว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง มีการสูญเสีย แต่ฝ่ายความมั่นคงก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะบริหารจัดการปัญหาเหล่านี้ แต่ฝ่ายรัฐบาลต้องดูแลด้านความมั่งคั่ง มีการดูแลเรื่องการเปิดชายแดนเพื่อให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น ร้านอาหารสามารถขายของได้ดีขึ้น โรงแรมมีผู้พักอาศัยได้เต็ม ให้ความหวังและแรงบันดาลใจทุก ๆ คนที่ต้องการความช่วยเหลือ

มีการเดินทางไป จ.หนองบัวลำภู ที่ได้ชื่อว่าจังหวัดที่ยากจนที่สุด มีการประชุม ครม.ที่นั่น ทำให้ทั่วประเทศไทยรู้ว่ามีปัญหาจริง ๆ และทำให้คนฐานบนของสังคมสามารถสัมผัสได้กับปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต

ดูแลพืชรอง พื้นที่เพื่อไทย

นายเศรษฐาเล่าว่า เมื่อตอนเข้ามาการเมือง 3-4 เดือน ต้องเรียนตรง ๆ ไม่ได้ใส่ใจราคาหอมแดง คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ มี สส.บอกว่าต้นทุนการผลิต กิโลกรัมละ 7-8 บาท แต่คิดไว้ในใจ บังเอิญมาหาเสียงที่จตุจักร มีแผงขายผักสด มีหอมแดงอยู่ ตนเข้าไปถามว่าหอมแดงกิโลกรัมละเท่าไหร่ ทราบหรือไม่ กิโลกรัมละ 200 บาท แล้ว 193 บาทหายไปไหน

ADVERTISMENT

“อันนี้เป็นตัวจุดประกายจริง ๆ และพอเข้ามาเป็นรัฐบาล ผมเข้าสภาในวันพฤหัสบดี มี สส.มาบอกว่าราคาหอมแดงไม่ดี ผมจึงเรียกนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ เชิญอธิบดีกรมการค้าภายใน มาหากลไกว่าราคาหอมแดงต้องเป็น 13-15 บาท ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจ จนถึงตอนนี้ราคาเกษตรขึ้นยกแผง” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวว่า นโยบายต่อไปของเราคือพืชรอง จะมีเรื่องลำไย ลิ้นจี่ และอีกหลาย ๆ เรื่องตามมา เราให้ความสำคัญเท่าเทียมกันหมด ได้หารือกับนายภูมิธรรมแล้ว ว่าเราจะต้องมีการดูแลพืชรองในจังหวัดต่าง ๆ ในเขตต่าง ๆ ที่พวกเราเป็น สส. เพื่อให้ราคาพืชผลทั้งหลายไม่ตกต่ำ ไม่ว่ากะหล่ำปลี หอมแดง ขิง ข่า ตะไคร้ ราคาจะต้องถูกยกขึ้นหมด

ADVERTISMENT

จะมีกลไกการค้า เปิดตลาดใหม่ ดูดซัพพลายออกจากตลาด จะเป็น KPI ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ เปิดตลาดใหม่เพื่อดูแลประชาชนในเรื่องเหล่านี้ให้ดี นอกจากนี้ ตอนนี้ราคายางกิโลกรัมละ 100 บาทแล้ว ต่างจากแต่ก่อน 3 กิโลฯฯ 100 เดี๋ยวข้าวก็จะดีขึ้น พยายามทำงานต่อไป

ยัน ฝุ่นดีขึ้น

นายเศรษฐากล่าวถึง PM 2.5 ว่า ปีที่แล้ว 2566 ไป จ.น่าน วันนั้นอากาศร้อนมาก เช็กสภาพอากาศตามแอปพลิเคชั่นระบุว่า 5 จังหวัดอยู่ในท็อป 10 ของโลก แต่ตัวเลขฝุ่นอยู่ในระดับ 400-500 แต่ปีนี้ 2567 มาดูใหม่ ที่มีข่าวว่าเชียงใหม่อยู่อันดับ 1 ตลอด แต่ตัวเลขอยู่ในระดับ 170-180 ถ้าเราไม่ได้เข้ามาบริหาร เชื่อว่าตัวเลขจะสูงกว่านี้เยอะมาก

เรื่องสิทธิเสรีภาพในการเลือก ถ้าเราไม่เข้ามา พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมก็ไม่รู้ไปถึงไหน แต่ตอนนี้น่าจะผ่านสภาไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึง ครอบคลุมทุก ๆ ภาคส่วน ค่าไฟ ค่าน้ำมันที่มีราคาแพง เข้ามาถึงก็จัดการทันที ทำให้ราคาพลังงานสามารถทำให้เราพออยู่กันได้ และจะมีการแก้ไขนโยบายพลังงานในระยะยาว เพื่อให้ราคาพลังงานถูกลง

ท่องเที่ยวดันรายได้เข้ากระเป๋า

นายเศรษฐากล่าวถึงการพัฒนาเมืองรองว่า เวลาเราลงพื้นที่มีความต้องการสนามบินอยู่จำนวนมาก ทั้งสุรินทร์ อัพเกรดสนามบินที่น่านให้มีรันเวย์ที่กว้างขึ้น สนามบิน จ.นครศรีธรรมราช สามารถรองรับไฟลต์ที่มาจากต่างประเทศได้มากขึ้น เราไม่ได้ดูแค่เมืองใหญ่ ๆ เราให้ความสำคัญพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นเมืองรองด้วย เพื่อให้สอดรับกับการท่องเที่ยว

“ถ้าเราไม่มาวันนี้ ป่านนี้ฟรีวีซ่าจีนไปถึงไหนก็ไม่รู้ การท่องเที่ยวมีสัดส่วน 20% ของจีดีพี เป็นอย่างน้อย ซึ่งช่วงที่งบประมาณ 67 ยังไม่ได้ออกมา เราพึ่งการท่องเที่ยวอย่างมาก เป็นตัวผลักดันรายได้เข้าสู่กระเป๋าของคนไทยทุกคน” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า รัฐบาลนี้มีการผลักดันเรื่อง FTA อย่างต่อเนื่อง เพราะเวลาจะไปขายของถ้าเราไม่มีสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ ก็จะขายของลำบาก เดินทางไปต่างประเทศมา 14 หน เหนื่อยยาก ลำบาก เพราะไปแต่ละหนนัดแน่นเอี้ยด เพราะไทยไม่ได้อยู่ในเวทีโลกมานาน จึงต้องไปเปิดหน้า เปิดตัวว่าไทยพร้อมแล้วสำหรับการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน

ตั้งเป้าประเทศรายได้สูง

นายเศรษฐากล่าวต่อว่า พูดถึงการลงทุน มีบริษัท Microsoft มาประกาศลงทุนประเทศไทย แม้ว่ามีการเปรียบเทียบการลงทุนที่อินโดนีเซียกับมาเลเซีย ว่าของเขาประกาศตัวเลขการลงทุน แต่ของเราไม่ได้ประกาศ ด้วยความเคารพของเขาเป็น stage 2 ส่วนของเราเป็น stage 1 มี 1 เดี๋ยวก็มี 2 มั่นใจการลงทุนจะมีอย่างต่อเนื่อง เราจะยกระดับ มีการเปลี่ยนอาชีพ ก้าวสู่สังคมที่มีรายได้สูง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

ไม่นิ่งนอนใจ รธน.ใหม่

เรื่องรัฐธรรมนูญใหม่ เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องให้ความสำคัญ ประชาชนมีความต้องการ รัฐบาลก็ไม่นิ่งนอนใจ เราผลักดันให้เกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีรัฐบาลนี้ 10 เดือนที่ผ่านมา เรื่องนี้จะอยู่ตรงไหน เพราะเราอยู่ในกฎกติกาที่ไม่ใช่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เราต้องมีการพูดคุยกัน นำเรื่องนี้ขึ้นมาผลักดันให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน เราทำมาตลอด 10 กว่าเดือนที่ผ่านมา

แก้หนี้นอกระบบให้เสร็จใน 4 ปี

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า ปัญหาใหญ่อีกปัญหาหนึ่งคือหนี้สิน ทั้งนี้ ในส่วนหนี้ในระบบเราได้เจรจาไปกับ 4 ธนาคารใหญ่เพื่อลดดอกเบี้ย แต่ถ้าเราไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ก็คงไม่มีใครไปคุยกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ลดดอกเบี้ย ท่านพูดอิสระเป็นหลัก แต่ตนพูดแล้วว่าอิสระไม่ได้อิสระจากความทุกข์ของประชาชน พูดไปด้วยวาจาที่สุภาพ พูดคุยในฐานะผู้ใหญ่ที่คุยกัน ถ้าหากท่านลดดอกเบี้ยก็ดี แต่ถ้าไม่ทำรัฐบาลก็หาวิธีอื่น จึงมีการคุยกับ 4 ธนาคาร จนมีการลดดอกเบี้ย

ส่วนหนี้นอกระบบที่กัดกร่อนสังคมไทย เราได้ทำงานกับฝ่ายปกครอง ตำรวจ และ สส.ก็มีส่วนช่วย วันนี้มีขั้นตอนที่เราทำไปแล้วบ้าง ยอมรับว่ายังอีกไกลกว่าจะสำเร็จ แต่ตนมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้เพื่อให้สำเร็จภายใน 4 ปีข้างหน้านี้

นายเศรษฐายังกล่าวว่า เรื่องที่เราให้ความสำคัญมากคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบหรือ 72 พรรษา รัฐบาลมีแผนงานดูแลช่วยเหลือประชาชน ออกโครงการต่าง ๆ มา อยากให้พวกเราทุกคนช่วยกันน้อมรับปฏิบัติ และช่วยกันคิดว่าจะทำอะไรเป็นสาธารณกุศลได้ ซึ่งในระยะเวลาอันใกล้พรรคเพื่อไทยจะมีนโยบายอย่างชัดเจน