
คอลัมน์ : สัมภาษณ์พิเศษ ผู้เขียน : วิรวินท์ ศรีโหมด
เขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของ “เนวิน ชิดชอบ” ผู้นำจิตวิญญาณพรรคภูมิใจไทย ที่เข้าสู่การเมืองระดับชาติ เป็น สส.ในสภาผู้แทนราษฎร
เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ต่อจากผู้เป็นอา “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” ผ่านการบริหารทั้งกิจการฟุตบอล สนามแข่งรถ และอีสปอร์ต
แต่ตอนนี้ ไชยชนก ชิดชอบ หนุ่มนักเรียนอังกฤษวัย 35 ต้องรับหน้าที่ทางการเมืองอันหนักอึ้งในฐานะเลขาธิการพรรค อนาคตการเมืองภูมิใจไทย จึงน่าจับตายิ่งภายใต้การบริหารของ “ไชยชนก” ผู้ไม่นิยมให้ใครในพรรคสีน้ำเงินเรียกว่า “ท่าน”
“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับทายาทการเมืองรุ่น 3 บ้านชิดชอบ ถึงมุมมองการเมืองและทิศทางนำพาพรรคไปสู่ศึกเลือกตั้ง ปี 2570 เขาประกาศวางเป้าว่า จะคว้า สส.ทะลุ 100 คน
3 ปัจจัยลงสนามการเมือง
“ไชยชนก” เปิดใจถึงสาเหตุที่ยอมเข้าสู่สนามการเมืองทั้งที่พยายามหนีมาตลอดว่า มี 3 ปัจจัยหลัก ๆ ในช่วงการเลือกตั้งปี’66 คือหนึ่ง ตอนนั้นจังหวัดบุรีรัมย์ แบ่งเขตการเลือกตั้ง เปลี่ยนจาก 8 เป็น 10 เขต ประกอบกับหนึ่งในผู้สมัคร สส.ของพรรคขณะนั้นไม่พร้อม คุณพ่อจึงมาถามอีกครั้ง ซึ่งไม่ทราบเป็นรอบที่เท่าไหร่ จะเปลี่ยนใจมาเล่นการเมืองหรือไม่ จึงบอกกลับไปก่อนว่า ขอเวลาคิดก่อน
ประกอบกับเหตุที่สอง ช่วงนั้นการเมืองกำลังเปลี่ยน มีพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ผู้ใหญ่ในพรรคจึงมาถามในฐานะวัยรุ่นคิดเห็นอย่างไร มิตินี้จึงทำให้ต้องกลับไปคิดว่า หรือควรลองเพราะมันจะมีพื้นที่ทำให้สามารถนำเสนอประโยชน์ให้กับสังคมได้
ประเด็นสามที่ทำให้ตัดสินใจ คือ ก่อนหน้าช่วยทำทีมฟุตบอลและสนามแข่งรถ รวมถึงทำให้วงการอีสปอร์ตเกิดการเปลี่ยนแปลงจนสังคมเปิดใจ และกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ในการสร้างประโยชน์ให้สังคมไทย จึงคิดว่าหากลองดูสักตั้งก็จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงช่วยสังคมประเทศมากกว่าที่เคยทำงานในภาคเอกชน
“สุดท้ายเมื่อสามปัจจัยมาประกอบกัน จึงตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมือง”
วันที่ตัดสินใจลงสู่สนามการเมือง บอกพ่อเนวินว่าอย่างไร “ไชยชนก” รุ่น 3 บ้านชิดชอบ ตอบสบาย ๆ ว่า ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ว่า “โอเค ก็ได้ครับ งั้นลองดูสักตั้งหนึ่ง”
“พอเข้ามาอยู่ในการเมืองจริง ๆ มันก็ไม่มีที่ให้ถอยแล้ว แต่วันนี้รู้สึกแฮปปี้กับมัน แฮปปี้โอกาสที่ได้ทำ”
ภายหลังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี’66 เปลี่ยนสรรพนามเป็น “นักการเมือง” ไชยชนกเผยความรู้สึกว่า แง่ชีวิตไม่เปลี่ยนเท่าไหร่ แต่กดดัน ทำอะไรต้องระมัดระวังมากขึ้น นี่คือสิ่งแรกที่รู้สึกหลังได้เป็นนักการเมือง แต่หลังจากนั้นต้องมาศึกษาเรียนรู้ เพราะในสนามการเมือง มีทั้งคนรุ่นเดียวกันและผู้มีประสบการณ์เยอะเต็มไปหมด ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังไปพร้อมกับศึกษาการเมือง
“สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดในการปรับตัวจากเอกชน มาสู่การเมืองคือการทำงาน ภาคเอกชนเมื่อเจออุปสรรคหรือปัญหา ทุกการตัดสินใจเรารับผิดชอบเต็มที่ 100% แต่พอเป็นนักการเมือง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จุดนี้พอจะเจอปัญหาหลายคนก็ต่างมุมมอง ปัญหาต่างกันสิ้นเชิง วิธีแก้ปัญหาก็แตกต่างกัน ตรงนี้รู้สึกเป็นสิ่งที่ยากและตนก็ต้องเรียนรู้อยู่ตลอด”
พ่อบ้านพรรควัยหนุ่ม
“ผมเป็นคนไม่ยึดติดตำแหน่ง แต่ช่วงแรก (เป็นเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย) เครียด หนักใจเพราะมันเคยเป็นตำแหน่งของอา (ศักดิ์สยาม ชิดชอบ) และรู้สึกมันเร็วไปสำหรับผม” ไชยชนก เผยความรู้สึกที่ต้องขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บริหารพรรคการเมือง
แต่วันนี้มองย้อนกลับไป รู้สึกว่าก็ทำหน้าที่ได้ดี เห็นจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในภูมิใจไทย ผลตอบรับของสมาชิกพรรค รวมถึงการทำงานและสิ่งที่กำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงมากขึ้น นี่เป็นบททดสอบที่ทำให้รู้สึกพอใจและทำให้คนอื่นรู้ว่าเลือกไม่ผิดเช่นกัน
เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย บอกถึงการทำงานเกือบ 1 ปีว่า เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่การที่เห็นพรรคซึ่งไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานเลย เห็นสมาชิกซึ่งมากประสบการณ์เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ที่ตนนำเสนอ และเห็นถึงคุณค่าประโยชน์การทำงาน
จึงคิดว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ภูมิใจไทย สามารถสร้างประโยชน์และทำงานได้หลากหลายรูปแบบมาก ๆ เพราะมีคนเก่งเต็มไปหมด แต่ไม่ค่อยมีเวทีเท่าไหร่ ฉะนั้นจะต้องดึงศักยภาพคนเหล่านี้ออกมา ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่หลากหลายของไทย
“ไชยชนก” อยากให้พรรคภูมิใจไทย ไปไกลมากกว่านี้ เพราะมองว่าวันนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ดี ที่พรรคสามารถสื่อสารได้มากขึ้น รวมถึงมีกรรมการบริหารชุดใหม่ที่มีมุมมองหลากหลาย เป็นกลุ่มที่มีความสามารถมีศักยภาพ และพร้อมเรียนรู้เปิดใจกับหลายเรื่อง รวมถึงระบบการทำงานที่ดึงประชาชนเข้ามาร่วมกันทำงานด้วย จากการให้แสดงความคิดเห็นการทำ พ.ร.บ.สำคัญต่าง ๆ ก่อนเสนอเข้าสู่สภา
ชง กม.เก็บภาษีเข้าบ้านเกิด
ส่วนนโยบายที่อยากขับเคลื่อนภูมิใจไทย ช่วง 2 ปีที่เหลือของรัฐบาล คือการผลักดันกฎหมาย คือ การทำ พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน และ พ.ร.บ.การศึกษาเท่าเทียม คือการนำเทคโนโลยีมาเป็นตัวเชื่อมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มคุณภาพการเรียนการสอนให้เยาวชนเข้าถึงทุกที่ทุกเวลาและฟรีจริง ๆ
ส่วน พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน เป็นการเพิ่มอำนาจให้ประชาชนผู้จ่ายภาษี ให้สามารถกำหนดได้ว่าภาษีที่จ่ายไปควรลงไปพื้นที่ใด ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมตัดสินใจและพัฒนาในแต่ละท้องถิ่น จะเป็นแรงจูงใจให้คนอยากเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น จะได้นำไปสู่การเกิดประชาธิปไตยที่ไม่ใช่เพียงแค่รอวันเลือกตั้งเท่านั้น
ส่วน พ.ร.บ.กัญชากัญชง นโยบายหลักของพรรค พ่อบ้านภูมิใจไทยเปิดเผยความคืบหน้าว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องรอหลายภาคส่วน รวมถึงความพร้อมของสังคม เพราะการขับเคลื่อนประเด็นนี้ไม่สามารถทำคนเดียวได้ พร้อมยืนยันว่าภูมิใจไทยไม่เคยถอย
ยุทธพิชัยสงครามเลือกตั้ง 70
เลขาธิการพรรคสีน้ำเงิน เปิดเผยถึงแผนการเตรียมตัวสู่การเลือกตั้งปี’70 ว่า นอกจากการขับเคลื่อนนโยบายหลักและกฎหมายต่าง ๆ คือการสื่อสารกับประชาชน ตนเชื่อว่า สส.ภูมิใจไทย มีความผูกพันใกล้ชิดประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำมาตลอด แต่อาจมีการกำชับบ้างให้ระมัดระวัง อย่าทำอะไรสุ่มเสี่ยง หรือทำให้เกิดเป็นบาดแผลทางการเมืองได้
“สส.ภูมิใจไทยตั้งแต่เข้ามา เราตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ได้สร้างปัญหากับใคร เราไม่ได้มีแผลอะไร เราแค่อยากทำแบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าสุดท้ายจะพร้อมที่สุดเอง”
เมื่อถูกถามว่าอะไรเป็นจุดขายพรรคภูมิใจไทย ทำให้ประชาชนไว้ใจ ในการเลือกตั้งปี’70 ไชยชนกย้ำว่า เรายังคงเหมือนเดิม แต่จะมีตัวละครให้ประชาชนเห็นมากขึ้น คือสมัยก่อนหากมองมา จะมีแต่เลขาธิการพรรค หัวหน้าพรรค ที่จะออกมาสื่อสารกับประชาชน
แต่รอบนี้ภูมิใจไทยมีคนรุ่นใหม่ อาทิ ผม รวมถึงกรวีร์ และภราดร ปริศนานันทกุล และกรรมการบริหารพรรคทั้งหมดจะมีบทบาทมากขึ้น เชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพมีความสามารถที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง ทำให้มองว่าการเลือกตั้งรอบนี้ประชาชนจะเห็นพรรคภูมิใจไทยมากขึ้น
บ้านใหญ่ก็พัฒนาจังหวัดเจริญ
ส่วนข้อครหาคำว่า “บ้านใหญ่” แกนนำรุ่นใหม่ภูมิใจไทยมองว่า คำว่าบ้านใหญ่ มันหมายถึงคนที่มีศักยภาพ มีความสามารถ มีบุคลากร มีทรัพยากร ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับว่าเขาใช้อย่างไร
ผมมองว่าการเป็นบ้านใหญ่ และเท่าที่เห็นบ้านใหญ่ที่อยู่ในกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย มีแต่คนที่ดี ๆ มองถึงประโยชน์ประชาชน เช่น บ้านใหญ่อุทัยธานี กรณีอุบัติเหตุรถโรงเรียน หากไม่ใช่บ้านใหญ่ไทยเศรษฐ์ จะมีการบริหารจัดการที่ดีและทำให้ประชาชนรักขนาดนั้นไหม เป็นสิ่งสะท้อนเห็นได้ชัดเจน
รวมถึงพวกผม (บ้านชิดชอบ) ที่พัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ ถ้าพวกเราไม่ใช่บ้านใหญ่ จะสามารถนำจังหวัดไปสู่การเปลี่ยนแปลง จากเป็นจังหวัดที่เคยติดอันดับความจนเป็นอันดับสามของประเทศไทย หรือเป็นเพียงเมืองผ่าน แต่วันนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก สุดท้ายมองว่ามันขึ้นอยู่ที่ว่า คุณใช้คำว่าบ้านใหญ่อย่างไร ฉะนั้นอยากให้ประชาชนให้โอกาส และจับตาดูว่าพวกผมทำอะไรได้บ้าง ในนามของกลุ่มที่เป็นบ้านใหญ่
ภูมิใจไทย ตั้งเป้า สส.เกิน 100
ส่วนเป้าหมายเก้าอี้ สส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เลขาธิการพรรคภูมิใจไทยหวังว่าต้องเกิน 100 อยู่แล้ว โดยหนทางที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายมองว่า สส.ภูมิใจไทย มีความผูกพันแน่นแฟ้นในพื้นที่ ฉะนั้นด้วยความที่ผมเป็นคนชอบตั้งเป้าสูง ก็ขอตั้งเป้าเกิน 100 ก่อน แต่ยังไม่ขอแบ่งว่าจะได้โซนภาคไหนเท่าไหร่ แต่คิดว่าฐานหลักยังคงต้องเป็นพื้นที่อีสาน ก่อนออกตัวว่า ผมยังเป็นเลขาใหม่ ขอให้ผู้ใหญ่ตัดสินใจ
ขณะที่อนาคตการเมืองของภูมิใจไทย จะต้องเป็นพรรคอันดับไหนในการจัดตั้งรัฐบาล ไชยชนกบอกว่า หลายเรื่องที่สัมผัสได้ คือ สิ่งที่เราพยายามขับเคลื่อนและทำเป็นนโยบาย พอเวลาไม่ใช่กระทรวงที่พรรคกำกับดูแลมันขับเคลื่อนยากมาก ฉะนั้น เราไม่ติดในเรื่องอันดับ แต่ขอให้ทำงานได้ หากยิ่งอันดับสูงก็สามารถทำประโยชน์ได้ง่ายขึ้น
ขณะที่อยากมีนายกรัฐมนตรี ที่มาจากพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ รุ่น 3 ชิดชอบ บอกว่า หากถามอยากมีไหม จริง ๆ ก็อยาก เพราะจะได้ทำงานมากขึ้น นอกเหนือจากที่ทำอยู่ทุกวันนี้ แต่สุดท้ายอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน
พร้อมนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี
เมื่อถามว่าพร้อมใกล้เป็นรัฐมนตรีแล้วหรือไม่ ไชยชนกบอกว่า ถ้าผมคิดว่ามีคนในพรรคทำหน้าที่ได้ดีกว่า หรือเหมาะสมมากกว่า คงบังคับให้ตนเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ แต่ถ้าตนรู้สึกว่าสามารถทำและสร้างประโยชน์ได้ดีที่สุด ก็คงไม่มีใครห้ามได้เหมือนกัน
ส่วนกระทรวงที่มีความถนัดเชี่ยวชาญ ไชยชนก ตอบว่า มี 3 กระทรวงที่เชื่อว่าสามารถทำงานได้ คือหนึ่ง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เพราะผมจะสามารถทำประโยชน์ได้เยอะ เนื่องจากรู้สึกว่าคนไทยเก่งอยู่แล้ว และหากมีโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลทั่วถึง เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจก็จะพัฒนาอย่างแน่นอน หากทำตรงนี้ได้ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไปทางที่ดี
รวมถึงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เชื่อว่าหากได้ทำงาน จะสามารถช่วยงานได้เยอะ เพราะกระทรวงนี้นำไปสู่การช่วยเหลือได้ทุกอุตสาหกรรม โดยที่เราสามารถเอามันสมองของประเทศมาช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ทุกบริบท
และอีกกระทรวง คือ วัฒนธรรม ตนรู้สึกว่าตรงนี้เป็นหน่วยงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้มหาศาล เพราะไทยเป็นประเทศท่องเที่ยว มีจุดเด่นเสน่ห์ซึ่งอยู่ในวัฒนธรรมอยู่แล้ว และจากที่เคยทำบุรีรัมย์โมเดล จนกลายเป็นสนามแข่งรถระดับโลก ด้วยการเอารถอีแต๋นมาขับในสนาม จนได้กระแสตอบรับดีจากต่างชาติ ฉะนั้นหากไทยส่งเสริมและสร้างมูลค่าให้วัฒนธรรม ก็จะนำไปสู่การสร้างอาชีพ และการไหลเทเข้ามาของเม็ดเงินต่างประเทศอย่างมหาศาล
ในช่วงท้าย เขาเผยถึงเป้าหมายทางการเมืองว่า “สำคัญที่สุด ทำให้ภูมิใจไทยก้าวไปข้างหน้าและพัฒนาทำให้มันเปลี่ยนแปลงการเมืองและพัฒนาประเทศได้”