
สส.พรรคประชาชนอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยง “ภาษีการรับให้” โดยใช้ ‘ตั๋ว PN’ ซื้อหุ้นจากเครือญาติ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ว่ามีการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยง “ภาษีการรับให้” มาตั้งแต่ปี 2559
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า คุณสมบัตินายกรัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
นอกจากนี้ หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้รับการยกเว้น โดยสำนึกแล้วคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเสียภาษีด้วยซ้ำ ถ้าตัวนายกรัฐมนตรียังทำตัวหนีภาษี ความเป็นธรรมในเรื่องภาษีจะเกิดขึ้นกับประชาชนได้อย่างไร
การที่คนรวยบางกลุ่มบางก้อนใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการหลบเลี่ยงภาษี ซ้ำร้ายในหลายกรณีเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการหลีกเลี่ยง หรือการหนีภาษีด้วยซ้ำ จึงทำให้ภาระทางภาษีตกอยู่กับมนุษย์เงินเดือน คนชั้นกลาง ประชาชนชาวรากหญ้า
ดังนั้น พฤติกรรมการใช้ช่องว่างทางกฎหมายในการหลีกเลี่ยง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าหนีภาษี จึงเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน ตนนึกไม่ถึงว่าพฤติกรรมที่น่าอดสูแบบนี้จะเกิดขึ้นกับคนที่ชื่อว่าแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
การอภิปรายในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่ไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร แต่เป็นการอภิปรายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ผู้เป็นเจ้าของเงินแผ่นดิน ว่านายกรัฐมนตรีใช้ช่องว่างทางกฎหมายทำนิติกรรมอำพราง หนีภาษี หนึ่งในคนที่อยู่บนห่วงโซ่อาหาร ก็คือแพทองธาร ชินวัตร
หลังจากที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ นายกรัฐมนตรีโอนหุ้นบริษัท 19 บริษัท มูลค่า 9,330.5 ล้านบาท แต่มี 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาท โอนไปให้แม่และพี่สาว ตนจึงถามว่าเป็นการโอนไปด้วยวิธีการใด เป็นการให้ หรือเป็นการขายหุ้น
หุ้นตัวแรก คือบริษัทอัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ 224.1 ล้านบาท โอนไปให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้เป็นแม่ เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 และหุ้นตัวที่สอง บริษัทประไหมสุหรี พรอพเพอร์ตี้จำกัด จำนวน 169.4 ล้านบาท โอนให้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ถ้าการโอนหุ้นของนายกรัฐมนตรีไปให้แม่และพี่สาวก็ต้องมีภาระในการจ่ายภาษี กรณีของแม่ต้องเสียภาษีรับให้ 10.2 ล้านบาท ในขณะที่พี่สาว 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ 18.2 ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษีรับให้มาตั้งแต่ปี 2559 อ้างว่าให้โดยเสน่หา ภาษีซักสลึงก็ไม่ต้องเสีย
เมื่อไปดูบัญชีทรัพย์สิน พบว่านายกรัฐมนตรีมีหนี้ 9 รายการ เป็นเอกสาร 9 แผ่นกระดาษ วิธีการที่นายกรัฐมนตรีใช้ แวดวงธุรกิจเรียกกันว่า ตั๋ว PN ซึ่งเป็นหนี้สินเชื่อ โดยนายกรัฐมนตรีซื้อหุ้นกับพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นการซื้อเชื่อ แล้วออกตั๋ว PN เพียงเท่านั้น ไม่ได้ซื้อขายจริง
“ซื้อหุ้นกันภาษาอะไร ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นกันเมื่อไหร่ ถ้าชาตินี้ไม่มีใครทวง แพทองธารก็ไม่ต้องจ่าย ลืมไปได้เลยว่าเคยเป็นหนี้ เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มีใครคิด แพทองธารไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมีภาระในการจ่าย พี่ชาย พี่สาว ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดี มีความกรุณามาก ๆ นอนกอดกระดาษ 9 ใบ โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาท จะได้เมื่อไหร่ โอ้โฮ ถ้าตั๋ว PN ทั้ง 9 ใบนี้เป็นจริงตามที่ผมว่า ก็แสดงว่าการซื้อหุ้นของแพทองธารทำนิติกรรมบังหน้า เอาเปรียบประชาชน เป็นการบ่อนทำลายประเทศ”
นายวิโรจน์กล่าวว่า การออกตั๋ว PN เป็นการซื้อเชื่อรายคนให้กับญาติ โดยตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการซื้อปลอม ทำให้คนในครอบครัว คนในกงสี ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลยแม้แต่บาทเดียว นายกรัฐมนตรีและญาติติโกโหติกาก็ไม่ต้องจ่ายภาษีอะไร แม้แต่เศษเนื้อเศษกระดูกก็ไม่ให้ตกถึงท้องสรรพากร
“ติ๊งต่างทำเป็นซื้อ ซึ่งได้มาจากการให้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีรับให้ วันนี้หมดเวลาที่แพทองธารจะทำกงสี เตรียมกระดาษเงินกระดาษทองทำกงเต็กได้เลย…ผมไม่ได้รังเกียจคนรวย เพราะคนรวยคนอื่น เวลาที่เขาจะให้หุ้นลูก ให้เงินหลาน เขาก็เสียภาษีอย่างถูกต้อง แพทองธารเขาเป็นคนแบบไหน เสียภาษีแบบมนุษย์มนาตรงไปตรงมาไม่ได้หรืออย่างไร
คนหนีภาษีแบบนี้เรายังสมควรให้ลอยหน้าลอยตาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ต่อไปได้อย่างไร หน้าที่ของคนทั่วไปยังทำไม่ได้ แล้วยังลอยหน้าลอยตาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำของคนไทยทั้งประเทศได้อย่างไร”
นายวิโรจน์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม หลีกเลี่ยงภาษีจำนวนสูงถึง 218.7ล้าน หนีภาษีถึงเกือบ 15% ของภาษีมรดกที่จัดเก็บได้ในปี 2567 ซึ่งถ้าพิจารณาถึงกระบวนท่ากันจริง ๆ ถือเป็นกระบวนท่าที่ใช้ภายในจักรวาลชินวัตร
ถ้าติดตามนวนิยายจีน จะทราบดีว่าเป็นเทคนิคการเคลื่อนย้ายจักรวาลที่เคยสั่นสะเทือนมาแล้วเมื่อปี 2544 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นเจ้าสำนักไม่ใช่ใครยักย้ายถ่ายเท หรือซุกหุ้นกันในเฉพาะเครือญาติ แต่ถึงกับเอาไปซุกไว้กับคนรับใช้ เอาไปให้คนขับรถ ล้ำลึกมาก ๆ ตนมีประเด็นที่อภิปรายในวันนี้ไปยื่นให้อธิบดีกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบต่อ
และหลังจากนี้จะต้องมีการร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แน่ ๆ ซึ่ง ป.ป.ช.มีอำนาจตามมาตรา 234 ของรัฐธรรมนูญ ในการไต่สวน และมีความเห็นต่อกรณีที่แพทองธาร ชินวัตร ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และพิจารณาส่งสำนวน และความเห็นของ ป.ป.ช.ไปที่ศาลฎีกาต่อไป ผมเชื่อว่าพฤติกรรมเช่นนี้ น.ส.แพทองธาร ก็ไม่รอด
ผมเป็นห่วงก็แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะยกมือไว้วางใจคนอย่างแพทองธาร ชินวัตร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะในหมวด 2 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ 19 การคบหาสมาคมกับผู้ประพฤติผิดกฎหมาย หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้ที่มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย
อันกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ ก็อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน ถ้ามีคนไปร้อง สส.ที่ยกมือให้แพทองธารก็อาจจะเข้าปิ้งตายตกตาม น.ส.แพทองธารไปด้วย