
คอลัมน์ : Politics policy people forum
เมื่อ 17 ปีที่แล้ว นพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีต รมว.การต่างประเทศ ผู้ที่เคยตกอยู่ในสภาวะต้องแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
วันนั้นกัมพูชาต้องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งรวมถึงพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร “นพดล” ในฐานะหัวหอก ทักท้วง-คัดค้าน ให้กัมพูชาทำได้เพียงขึ้นทะเบียนเพียงแค่ตัวปราสาท
17 ปีถัดมา สถานการณ์พิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียดอีกครั้ง
ปลายทางของฝ่ายกัมพูชาต้องการนำข้อพิพาท 4 พื้นที่ทับซ้อน ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลโลกอีกรอบ
“ประชาชาติธุรกิจ” สนทนากับ “นพดล” ในฐานะที่เคยเป็น รมว.การต่างประเทศ ที่ต้องเดินเกมการทูต แก้ข้อพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชา ถึงทางออกจากวิกฤต
การทูตดึงลมออกจากใบเรือ
นพดลตอบคำถามว่า หากเขาเป็น รมว.การต่างประเทศตอนนี้จะทำอย่างไร ว่าวัตถุประสงค์คือปกป้องดินแดน และสร้างความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น มุ่งถ้อยทีถ้อยอาศัยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน
แต่เราต้องชี้แจงข้อพิพาทที่เกิดขึ้นกับประชาคมโลก ให้เข้าใจประเทศไทยบนข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง วัตถุประสงค์ไม่ให้ถูกมองว่าเป็นประเทศมีปัญหา ดึงดัน เพราะถ้าประชาคมโลกรู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร จะช่วยให้ภาพลักษณ์และเกียรติภูมิประเทศดำรงอยู่ได้
วิธีการคือ ทำหนังสือสรุปข้อเท็จจริงให้สถานเอกอัครราชทูตทั่วโลกของไทยให้รับทราบ เชิญทูตทั่วโลกที่อยู่ในประเทศไทยมาประชุมที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ข้อมูล และมีแฟ้มเอกสารติดไม้ติดมือไปด้วย
“เป็นการนำเอาลมออกจากใบเรือของกัมพูชาที่ไปศาลโลก เพื่อให้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องข้อพิพาทที่เกิดขึ้นตามปกติของประเทศที่มีชายแดนติดกัน และมีกลไกทวิภาคีในการเจรจาอยู่แล้ว”
“ฝ่ายการเมืองต้องเข้มแข็ง ทั้งการสื่อสารกับคนไทย และการสื่อสารกับเวทีระหว่างประเทศ ยังต้องโน้มน้าวสมาชิกชาติอาเซียนให้ทราบด้วย ในการปกป้องจุดยืนของไทยควรทำอย่างเข้มแข็ง”
“แต่ต้องเจรจาแบบอ่อนนอกแต่แข็งใน คือสุภาพ นุ่มนวล แต่ยึดหลักการ วิธีการทำให้เราประสบความสำเร็จ คือเราต้องยึดมั่นในกฎกติการะหว่างประเทศ เพราะการดำเนินนโยบายต่างประเทศต้องตั้งอยู่บนกฎหมายระหว่างประเทศ และควรเน้นการทูตพหุภาคีให้มากที่สุด เพราะถ้าเราหนีออกไปจาก 2 จุดนี้ จุดยืนเราจะไม่แข็งแรง หลังพิงฝาเราก็จะอ่อนแอ เพราะเราเป็นประเทศขนาดกลาง”
ศาลไม่ชี้ขาดแผนที่ 1 : 2 แสน
ส่วนยุทธศาสตร์ในการเจรจา 1.ยึดมั่นกฎกติการะหว่างประเทศ 2.สื่อสารข้อเท็จจริง 3.การรักษาดินแดน ต้องรู้ว่าอะไรที่เป็นของเราก็ต้องเป็นของเรา อะไรที่เป็นของเขาก็ต้องเป็นของเขา อะไรที่ต่างฝ่ายต่างอ้าง เรียกว่าพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนก็ต้องเจรจากัน
“นัยว่าเราต้องรู้ว่าสิทธิด้านเขตแดน หรืออธิปไตยของเรากินพื้นที่ตรงไหนบ้าง เราต้องชัดเจน ต้องมีระวางแผนที่ ซึ่งประเทศไทยยึดการแบ่งเขตแดนกับกัมพูชาโดยสันปันน้ำ ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ตอนนี้ใช้ระวาง L7018 ยืนยันโดยกรมแผนที่ทหาร ร่วมกับกองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งแผนที่นี้เราใช้ในการปกป้องอธิปไตยของเรา”
เช่น เราประกาศเขตอุทยานเขาพระวิหาร เราก็ต้องรู้ว่าพื้นที่ของเราสิ้นสุดตรงไหน ซึ่งกัมพูชาใช้ระวางแผนที่ 1 : 200,000 ในคดีเขาพระวิหาร แต่ศาลโลกไม่ได้ตัดสินว่าเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา เป็นไปตามแผนที่ 1 : 200,000
“ขนาดบริเวณปราสาทพระวิหารศาลโลกยังไม่ตัดสินเลยว่าระวาง 1 : 200,000 ใช้แบ่งเขตแดนบริเวณเขาพระวิหาร ดังนั้น ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยว่ากัมพูชาจะเอาแผนที่ 1 : 200,000 เป็นเขตแดนบริเวณอื่นนอกเขาพระวิหาร”
“เราต้องเจรจาโน้มน้าวกัมพูชา ว่าคำตัดสินของศาลโลก เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2556 ในคดีตีความคำตัดสินเขาพระวิหาร เมื่อปี 2505 ก็ไม่ได้ตัดสินเรื่องแผนที่ ดังนั้น กัมพูชาจะมาใช้แผนที่ 1 : 200,000 ได้อย่างไร”
นอกจากนี้ ต้องเอาภาพถ่ายทางอากาศว่าเป็นของไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร กรมศิลปากรก็ขึ้นทะเบียนปราสาทตาเมือนธมเป็นโบราณสถาน อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่รัฐไทยมานานแล้ว และดูสันปันน้ำบริเวณนั้น คิดว่าไทยทำตรงไปตรงมาอยู่แล้ว
ทางออกในเวทีศาลโลก
ส่วนที่กัมพูชาประกาศจะไม่นำ 4 พื้นที่ ประกอบด้วย ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต เข้าสู่การเจรจาคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission-JBC) โดยจะนำพื้นที่ทั้ง 4 ขึ้นศาลโลกนั้น นพดลเห็นว่า JBC ก่อกำเนิดมาเพราะผลของ MOU 43 ภารกิจคือการพูดคุยเรื่องการปักปันเขตแดน ไม่ได้ไปคุยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือความสัมพันธ์ในพื้นที่
“ถ้าไม่คุยเรื่องพิพาทกันอยู่จะไปคุยเรื่องอะไร แต่ฝ่ายไทยก็คงเจรจาอย่างสุจริตใจ ถกเถียงด้วยเหตุด้วยผล ทั้งเหตุผล และหลักฐาน”
“ถ้าตกลงกันได้ก็ดี ถ้าตกลงไม่ได้ก็คุยใหม่ ระหว่างที่คุยใหม่ทหารก็อย่าเข้าไปในพื้นที่ที่แต่ละฝ่ายอ้างสิทธิ เพราะไม่ต้องการถูกกฎหมายปิดปาก ถ้าเข้าไปแล้วอีกฝ่ายไม่ประท้วง กลายเป็นการครอบครองตามความเป็นจริง เป็นเหตุให้ฝ่ายกัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อน โดยใช้คำว่าปรับกำลัง แทนคำว่าถอนกำลัง เพราะถ้าใช้คำว่าถอนกำลังเท่ากับยอมรับว่าพื้นที่นั้นไม่ใช่ของกัมพูชา”
“นพดล” เชื่อว่าขณะนี้ไทยยังไม่เสียเปรียบสิทธิด้านเขตแดน เพียงแต่ถ้าเข้าใจประเด็นข้อกฎหมาย และมีประสบการณ์ก็อาจจะทำอีกแบบหนึ่ง
พลิกธรรมนูญศาลโลก
ถ้ากัมพูชานำ 4 พื้นที่ขึ้นศาลโลก โดยที่ไทยประกาศชัดเจนว่าไม่ยอมรับเขตแดนอำนาจศาล “นพดล” วิเคราะห์ว่า ประเทศที่เป็นภาคีสมาชิกสหประชาชาติรับเขตอำนาจศาลโลกอยู่แล้ว เพียงแต่มีกฎบัตรศาลโลกว่าการนำคดีขึ้นสู่ศาลโลกต้องได้รับการยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งเสียก่อน ตามธรรมนูญศาลโลก ข้อ 36
นพดลย้อนอดีตว่า ประเทศไทยได้ยอมรับเขตอำนาจศาลล่วงหน้า ตามข้อ 36 (2) ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยหนังสือลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2493 ซึ่งยอมรับอำนาจศาลเป็นเวลา 10 ปี แต่หลังคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไทยไม่ได้ให้การยอมรับอำนาจของศาลโลกอีก
แต่ที่ศาลโลกมีคำตัดสินเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2556 ให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนมากขึ้นของยอดเขาพระวิหาร และพื้นที่บริเวณปราสาทนั้น ก็เพราะกัมพูชายื่นคำขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเดิม เมื่อปี 2505
“ดังนั้น หลังจากนี้ถ้าจะขึ้นศาลโลกจะต้องได้รับการยินยอมเป็นกรณี ๆ ไป Case by Case นี่คือที่เราประกาศว่าเราไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก”
แล้วข้อพิพาทจะจบแบบไหน นพดลออกตัวว่า “ผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการดำเนินคดีที่ศาลโลก แต่มีคนวิเคราะห์ว่าถ้ากัมพูชาไปยื่นฟ้องศาลโลก ไทยก็ต้องตั้งค่าทนายยื่นเอกสารต่อศาลว่ากัมพูชาไม่มีอำนาจ ต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ผมไม่รู้ว่าอยู่เฉย ๆ หรือต้องไปยื่นแบบนั้น ซึ่งจะเสียค่าใช้จ่ายหลายล้านบาท
“ประเด็นสอง มีผู้สันทัดกรณีอ้างว่า แม้เราไม่ไปศาล ศาลก็มีอำนาจพิจารณาคดี พยายามอ้างถึงคดีทะเลจีนใต้ คดีตะวันออกกลาง ซึ่งผมไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อถึงเวลา กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศคงจะให้ข้อมูล”
“แต่สำหรับผม ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจ ศาลจะพิจารณาได้อย่างไรฝ่ายเดียว..มันไม่ได้ เมื่อไทยไม่ยินยอม เขาก็ไม่มีอำนาจในการพิจารณาคดี ผมวิเคราะห์อย่างนี้”