“เดชนัฐวิทย์” เปลี่ยนความคับแค้นเป็นพลัง กู้ศักดิ์ศรีตระกูล “เตริยาภิรมย์”

สัมภาษณ์พิเศษ
ควันหลงปรากฏการณ์ “พลังดูด” จนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์เป็นการ “ซื้อตัว” ส.ส.เกรดเอระดับหลักล้านบาท แม้กระทั่ง “ดีลลับ” ทางการเมืองเพื่อ “คุมเกม” เลือกตั้งที่ใกล้เข้ามาถึง

 

“เดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์” ทายาทคนการเมืองของ “บุญทรง-พยานปากเอก” ในคดีจำนำข้าว ภาค 2 ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย (พท.) ถูกตั้งคำถามทันควันถึงการย้ายข้าง-สลับขั้วไปซบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

กู้ศักดิ์ศรีแทน “พ่อ”

การ “ถอยออกมาหนึ่งก้าว” ของ “เดชนัฐวิทย์” ก่อนย้ายเข้าชายคาพรรค “ขั้วตรงข้าม” ทำให้เสียงซุบซิบ-นินทาเรื่อง “ต่อรอง” ดังขึ้น เขาให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ-อนาคตทางการเมืองใน “บ้านใหม่”

“การที่ผมย้ายมาอยู่กับพลังประชารัฐ ใช่… (เสียงดัง) เราต้องการช่วยคุณพ่อ แต่การย้ายมาเพื่อให้คุณพ่ออยู่สบายขึ้นในเรือนจำไหม คงไม่เกี่ยว เพราะการช่วยคุณพ่อมันมีสิ่งที่สามารถทำได้ในอีกหลายมิติ”

“สิ่งหนึ่ง คือ การเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนแทนคุณพ่อ อย่างน้อยเป็นการแก้ความเชื่อและกู้ศักดิ์ศรีให้กับคุณพ่อคืนมาจากการถูกประชาชนตีหน้าว่าเป็นคนผิด”

“สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ผมไม่อยากพูดถึงต่อให้เกิดความขัดแย้งและเกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น เรื่องในอดีตเกิดขึ้นมาแล้วคงไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ โดยหวังว่าประเทศไทยจะมุ่งไปสู่การไร้ซึ่งความขัดแย้ง”

ชีวิตฟ้าหลังฝน

“เดชนัฐวิทย์” เล่าชีวิตฟ้าหลังฝน-บนเส้นทางการเมืองบทใหม่ ในช่วงแรกหลังจากย้ายจากเพื่อไทยไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐเกิดกระแสต่อต้าน

แต่พอได้ใช้เวลาอธิบายให้ชาวบ้านได้ฟังเหตุผลจากปากก็เกิดความเข้าใจ-พร้อมที่จะสนับสนุน

“ไม่คิดว่าการย้ายพรรคจะเป็นปัญหา เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะเป็นผู้แทนฯคือคนที่เป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหนก็สามารถทำประโยชน์ให้กับชาวบ้านได้”

แม้จังหวัดเชียงใหม่ เขต 5 จะเป็นมรดกทางการเมืองชิ้นเดียวที่ “บุญทรง” และ “เดชนัฐวิทย์” ประกาศขอรักษาเก้าอี้แทนผู้พ่อ แต่ก็เป็นฐานเสียงของเพื่อไทย ทำให้ต้องเจอ “ของแข็ง” อย่าง “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” สายตรง “ทักษิณ ชินวัตร”

“นามสกุลกับสิ่งที่คุณพ่อทำไว้ ทำให้ผมเข้าหาพี่น้องประชาชนได้ง่ายขึ้น แต่สุดท้ายเราไม่สามารถบังคับประชาชนให้กาเลือกเราได้ นามสกุลมันทำให้เราก้าวได้เร็วกว่าคนอื่นก็จริง แต่สุดท้ายประชาชนจะเป็นคนตอบคำถามนี้เอง”

บุญทรง My hero

“เดชนัฐวิทย์” เชื่อว่า “บุญทรง-ผู้พ่อ” ได้วางเส้นทางให้เขาเข้าสู่การเมืองตั้งแต่ยังอ่อนต่อโลก (การเมือง) และติดสอยห้อยตามหาเสียงเลือกตั้งจริงจังในปี 2550

“ผมเดินตามคุณพ่อหาเสียงตั้งแต่ปี 2548 เราเห็นคุณพ่อเป็น hero เราเดินไปก็เห็นชาวบ้านเข้ามายิ้มแย้ม เข้ามากอดคุณพ่อ มีความรัก มีความสุข แชร์สิ่งดี ๆ ต่อกัน ทำให้ตั้งแต่เด็กเราอยากจะเป็นคนคนนั้น (นายบุญทรง)”

“ผมบอกกับคุณพ่อตั้งแต่เด็กว่า ผมอยากเข้ามาร่วมการเมือง ท่านสนับสนุนและวางตัวให้เราเดินอยู่ในเส้นทางการเมืองตั้งแต่แรก เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องมายืนในจุดนี้”

“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคิดและไม่คาดฝัน จากที่คิดว่าจะมีคุณพ่อกุนซือที่แข็งแกร่งอยู่เคียงข้าง แต่วันนี้ทำให้ต้องทำงานด้วยตัวเองเกือบทั้งหมด แต่เป็นโอกาสให้เราได้พิสูจน์ตัวเองและทำให้โตเร็วกว่าคนอื่น”

“ก้าวข้ามความขัดแย้ง”

ในฐานะ “คนรุ่นใหม่” ของพรรค ความ “โดดเด่นกว่า” พรรคการเมืองอื่นที่จะทำให้ “new vote” ในการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 8 ปี จำนวน 7-8 ล้านคน หรือคิดเป็น “เก้าอี้ใหม่” ถึง 115 กว่าที่นั่งเลือกพลังประชารัฐ ?

“ถ้าผมบอกว่าหน้าตาจะผิดไหม (หัวเราะลั่น) ผมยังคงยืนยันเหมือนมอตโตพรรค ก้าวข้ามความขัดแย้งเพราะสาเหตุที่การพัฒนาของประเทศหยุดชะงักเพราะความขัดแย้งระหว่างประชาชนเอง”

“ตรงนี้จึงเป็นจุดเด่นของพรรค เพราะต้องการเห็นประเทศไทยในอนาคตก้าวไปข้างหน้า ผมจะบอกว่าเป็นจุดขายของคนรุ่นใหม่ก็ได้และเป็นนโยบายของพรรคก็ไม่ผิด”

สานต่องาน “บุญทรง”

เขาทิ้งท้ายการวางอนาคตทางการเมืองไว้กับบ้านหลังใหม่-พลังประชารัฐ จะอยู่เพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อในการลงเป็นผู้แทนฯจังหวัดเชียงใหม่ เขต 5

“วันนี้เข้ามาเพื่อต้องการสานต่อในสิ่งที่คุณพ่อทำไว้ โดยเริ่มจากจุดเล็ก ๆ เป็นเป้าหมายแรก คือ ดูแลพี่น้องของบ้านเราก่อน ส่วนเรื่องการขับเคลื่อนระดับประเทศก็ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ภายในพรรคจะให้โอกาส”

ไม่ว่าพลังประชารัฐจะส่ง “เดชนัฐวิทย์” สู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้แทน “บุญทรง” เพื่อรักษาเก้าอี้ผู้พ่อ-ชิงเก้าอี้จากเพื่อไทยได้หรือไม่

เขาเพียงต้องการให้เรื่องที่แล้วไปแล้ว จบไปพร้อมกาลเวลา เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนความคับแค้นเป็นพลังแล้ว จากนี้ไปเขาไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บถึงการรัฐประหาร จนทำให้พ่อของเขาต้องตกที่นั่งลำบากอยู่ในเรือนจำจนถึงบัดนี้

“สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ผมไม่อยากพูดถึงต่อให้เกิดความขัดแย้งและเกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น เรื่องในอดีตเกิดขึ้นมาแล้วคงไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หวังว่าประเทศไทยจะมุ่งไปสู่การไร้ซึ่งความขัดแย้ง”

หน้า 8