“ธนาธร” เปิดศึกชิงนายกฯ “บิ๊กตู่” กวักมือ ปชป.-ภท.- ส.ว. ปิดสวิตช์สืบทอดอำนาจ

ในที่สุดชื่อ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็เป็นผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในกลุ่มพันธมิตรพรรคเพื่อไทย 7 พรรค ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคพลังปวงชนไทย พรรคเศรษฐกิจใหม่ พรรคเพื่อชาติ และพรรคประชาชาติ

รวมเสียงโหวต 246 เสียง หลังจากมีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์หลายคณะของพรรคเพื่อไทย และคณะกรรมการประสานงานที่ทำหน้าที่วิปชั่วคราวของพรรคเพื่อไทย ได้บทสรุปในช่วงบ่าย
“ธนาธร” แถลงขอบคุณเพื่อไทย และพันธมิตรว่า ในวันที่ 5 มิ.ย.จะเป็นวันที่ชี้ทิศทางของประเทศ ว่าจะอยู่กับระบอบ คสช.ต่อไป หรือ เลือกที่นำประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยอีกครั้ง เป็นวันสำคัญที่จะชี้ขาดอนาคต

“ส.ส.พรรคอนาคตใหม่จะเสนอชื่อผมเป็นนายกฯ ธนาธรพร้อมที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ พร้อมที่จะเป็นนายกฯ ในโอกาสนี้ขอขอบคุณ เพื่อไทย พรรคที่ได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนให้มี ส.ส.มากที่สุดในการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยได้แสดงสปีริตที่น่ายกย่องไม่ยึดติดตำแหน่ง ไม่ยึดถึงผลประโยชน์ของพรรค แสดงจุดยืนทางการเมืองที่น่าเชื่อถือ ขอบคุณแกนนำ เพื่อไทยและส.ส.เพื่อไทยทุกคน ขอขอบคุณผู้นำพรรค และ ส.ส.จากพรรคอื่นที่ร่วมลงสัตยาบัน ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ที่เห็นประโยชน์ประเทศมากกว่าประโยชน์ของพรรค ซาบซึ้งใจ จะทำหน้านี้ให้ดีที่สุด”

“ธนาธร” ขณะที่ยังไม่ทราบผลของ “พรรคประชาธิปัตย์” ว่าจะร่วม-ไม่ร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ ได้กวักมือไปที่พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคภูมิใจไทย ว่า “ยังไม่สายที่จะร่วมงานกัน”

“ ไม่สายเกินไปที่ ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทยตัดสินใจให้ถูกต้อง และเลือกเดินกับประชาชนหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ คสช. ประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย จะได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในการลงมติครั้งสำคัญ ให้ตัดสินใจอย่างที่ตัวเองหาเสียงไว้กับประชาชน เราอนาคตใหม่พร้อมจะทำงานกับทั้งสองพรรค พร้อมและยืดหยุ่นในการพูดคุย ต่อรอง เพราะเราเห็นว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับประเทศวันนี้คือการนำประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตย และก้าวแรกที่จะทำเช่นนั้นได้คือหยุด คสช.หยุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ให้เป็นนายกฯ สมัยต่อไป เชื่ออย่างแรงกล้างว่าการสืบทอด คสช รัฐประหารจะเป็นไปไม่ได้ถ้า ส.ส.ร่วมมือกัน ยืนหยัดด้วยกันอย่างตั้งมั่น”

“และเหตุผลที่เขาสืบทอดอำนาจได้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะมีพรรคการเมือง นักการเมือง ส.ส.ยอมเป็นนั่งร้านการสืบทอด และคณะรัฐประหาร ไม่มองผลประโยชน์ส่วนใหญ่กับประเทศ มองผลประโยชน์กับพรรค ของตนเองเป็นหลัก อย่าให้ใครหลอกพวกเราได้ว่าเศรษฐกิจสามารถแก้ไขได้ในระบอบเผด็จการ แต่การเมืองนำเศรษฐกิจ การเมืองที่ดีนำมาสู่เศรษฐกิจที่ดี”

และ “ธนาธร” ประกาศว่า พร้อมจะแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้าสมาชิกรัฐสภา “เชื่อว่าสมาชิก ส.ส.มีทั้งสิทธิและความชอบธรรมที่ได้รับฟังคนที่เป็นนายกฯ ว่ามีวิสัยทัศน์พาประเทศไทยไปข้างหน้าอย่างไร พร้อมในวันพรุ่งนี้ถ้าสภามีมติอนุญาตจะสแตนบาย รอที่สภาในวันที่ 5 มิ.ย. และพร้อมจะแสดงวิสัยทัศน์ไม่ว่า ประยุทธ์จะมาหรือไม่มาก็ตามที ขอกำลังใจจากประชาชน ขอเสียงสนับสนุนจากสมาชิก ส.ส.และ ส.ว.ขอให้ตัดสินใจให้ถูกต้องเพื่อผลประโยชน์ของประเทศเอาประเทศไทยออกจากระบอบ คสช.ชอการสนับสนุนจาก ส.ส.และส.ว.ทุกคนในฐานะแคนดิเดตนายกฯ คนต่อไป

“ธนาธร” ยังกล่าวถึงบทบาทของ ส.ว. 250 คนที่จะเป็นแกนหลักในการโหวตนายกฯ ว่า “เราต่อสู้อย่างยาวนานเพื่อให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ 40 กำหนดให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง แต่การรัฐประหาร 49 นำมาซึ่งรธน.50 รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งครึ่งหนึ่งและแต่งตั้งครึ่งหนึ่ง และการรัฐประหารครั้งล่าสุดนำมาสู่รัฐธรรมนูญ 60 ซึ่งประชาชนต่อสู้มานานแต่ถูกขโมยกลับไป จากการรัฐประหาร เราเรียกร้องอีกครั้งจากประชาชนที่รักประชาธิปไตยที่เรียกร้องมาหลายทศวรรษ นายกฯต้องมาจากเสียงประชาชน ส.ว.มีสิทธิไม่ชอบธรรม ดังนั้น ขอให้ลงมติให้เหมาะสม”

ในจังหวะที่การตั้งรัฐบาลพลังประชารัฐ ยังอยู่ในภาวะ “เสียงปริ่มน้ำ” การตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมั่นคงยังเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เสียงในสภา จึงมีความสำคัญทางการเมืองยิ่งกว่าทองคำ ท่ามกลางกระแส “งูเห่า” เลื้อยเพ่นพ่าน ส.ส.อนาคตใหม่ จึงตั้งวงแถลงข่าวแฉปรากฏการณ์ “ล่อซื้องูเห่า”

“พรรณิการ์ วาณิช” โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า เรื่องที่เราพูดมาตลอด ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาและเป็นปัจจัยสำคัญในการชี้ขาดเลือกนายกรัฐมนตรี คือ เรื่อง งูเห่า โดยเฉพาะ งูเห่าสีส้ม

“ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ติดต่อถูกซื้อเยอะมาก น่าจะเกือบครบทุกคน อาจเพราะเราหน้าใหม่ หรือฝ่ายตรงข้ามมองว่าเราซื้อได้ด้วยเงิน ซึ่งเป็นการประเมินที่ผิด วันนี้คนที่มาร่วมแถลงข่าวล้วนเคยถูกติดต่อเพื่อให้เป็นงูเห่า ต้องย้ำว่า เรารวมตัวด้วยอุดมการณ์ และใช้เงินน้อยที่สุด”

“อนาวิล รัตนสถาพร” ส.ส.ปทุมธานี เล่าว่า ตนได้รับการติดต่อ 2 ครั้ง ครั้งแรกจำนวน 30 ล้านบาท โดยรอบแรกให้ 25 ล้านบาท หลังเลือกนายก ให้อีก 5 ล้าน ส่วนครั้งที่ 2 เสนอเงินให้ 60 ล้าน โดยตนจะได้ 50 ล้าน บาท หักเป็นค่านายหน้า 10 ล้านบาท

“เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร” ส.ส.กรุงเทพมหานคร บอกว่า ได้รับการติดต่อตั้งแต่ หลังการเลือกตั้ง เสนอให้ 30 ล้านบาท ผ่านคนสนิท ซึ่งตนปฏิเสธไป แต่ยังมีการติดต่อเรื่อยๆ จาก 50 ล้าน เป็น 70 ล้าน จนสัปดาห์ที่ผ่านมาเสนอให้ 120 ล้านบาท และปฏิเสธไปเพราะตนคิดว่า การที่เราเป็นผู้แทนประชาชน เราแบกความหวังของประชาชนไว้ ซึ่งความไว้วางใจของพี่น้องประชาชน นั้นมากกว่า 120 ล้านบาท แน่นอน

“ฐิตินันท์ แสงนาค” ส.ส.ขอนแก่น กล่าวว่า ในช่วงเช้าวันที่ 25 มี.ค. มีโทรศัพท์มาแจ้งว่า มีผู้ใหญ่ขอพบ เป็นระดับรองหัวหน้าพรรค สะดวกให้พบที่ไหน ซึ่งตนได้ปฏิเสธไป เพราะ กกต. ยังไม่รับรอง และทางพรรคก็กำชับว่า ห้ามให้สัมภาษณ์สื่อ เพราะผลการเลือกตั้งยังไม่ออกมาเป็นทางการ และเสนอให้เงินใช้นอกบัญชี 9 หลัก แต่ปฏิเสธไป นอกจากนี้ ก่อนวันโหวตยังเสนอให้ 5 ล้านและหลังวันโหวตให้อีก 70 ล้าน พร้อมเงินเดือนอีกเดือนละ 200,000 บาท

“ทองแดง เบ็ญจะปัก” ส.ส.สมุทรสาคร กล่าวว่าหลังเลือกตั้งมีคนติดต่อมาตลอด เริ่มที่ 25 ล้าน เป็น 50 ล้าน ล่าสุดคือ 75 ล้าน แต่ตนก็ปฏิเสธไป เพราะหากตนรับ พ่อแม่พี่น้องของตน เขาจะคิดอย่างไร เขาจะมองว่าเรา ไม่ใช่นักต่อสู้ ตลอดระยะเวลาที่ตนโตมา ทุกคะแนนเสียงมาจากความกตัญญูต่อประชาชน

การเมืองสมัยแรกของ “ธนาธร” ก้าวขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ 7 พรรค สู้กับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากขั้วพลังประชารัฐ แม้ว่าไม่โอกาสจะเป็นไปได้น้อยก็ตาม
หลัง “ประชาธิปัตย์” มีมติร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐเรียบร้อยแล้ว หลังจากใช้เวลา 5 ชั่วโมงเพื่อลงคะแนนลับ