“ประยุทธ์” ใช้เจตนาบริสุทธิ์แจงซักฟอก พร้อมรับมือฝ่ายค้าน สั่งฝ่ายความมั่นคงเกาะติด ไล่-เชียร์ลุง ไม่ว่ากลุ่มไหนก็ไม่เกิดอะไรดีต่อบ้านเมือง มั่นใจฝีมือตำรวจจับโจรปล้นทองได้แน่ แต่ไม่อยากกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่ ชี้เป็นนายกฯ ไม่มีหน้าที่เคลียร์รอยร้าวใน สตช. ย้ำ การแก้ภัยแล้งยั่งยืนต้องแผน 20 ปี วอนทุกฝ่ายช่วยกันลดฝุ่น PM2.5
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเตรียมความพร้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้เตรียมการมาโดยตลอด ซึ่งตนไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงได้ และอยู่ในกระบวนการกฎหมาย เพราะรัฐบาลทำงานด้วยกฎหมายและกฎระเบียบ จึงต้องฟังฝ่ายค้านว่าจะยื่นญัตติมาในเรื่องอะไรบ้าง แต่ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่ามีโอกาสพูดได้ทุกเรื่อง บางวาระพูดนอกกรอบ ก็เป็นสิทธิของสภา ตนก็พร้อมจะชี้แจง ซึ่งมีการเตรียมการอยู่ แต่ยังไม่สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะตนยังไม่รู้ว่าฝ่ายค้านจะเล่นงานอะไรตนบ้าง แต่อาศัยเจตนารมณ์บริสุทธิ์ของตนในการทำงาน ชี้แจงข้อเท็จจริง
@ สั่งเกาะติด ไล่-เชียร์ลุง
“ส่วนเรื่องการเดินเชียร์ วิ่งไล่ ไม่รู้จะคิดอย่างไร จะกลายเป็นชนวนความขัดแย้งรอบใหม่หรือไม่ ก็เห็นประโคมข่าวกันโครมๆ ทุกวันทั้งสองฝ่าย ให้ฝ่ายความมั่นคงไปดูว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะไม่อยากให้ประชาชนแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย แยกชนชั้น แยกตามเจเนอเรชั่น คนรุ่นใหม่ กับคนรุ่นเก่า ไม่เห็นเกิดอะไรดีกับบ้านเมือง ต้องหาทางร่วมมือกัน ฝ่ายความมั่นคงจะทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่ว่าฝั่งเชียร์ ฝั่งไล่ อะไรที่ทำให้เกิดสถานการณ์ที่รุนแรงเหมือนในอดีตก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
@ หวัง ครม.สัญจรกระตุ้น ศก.ในพื้นที่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง การประชุม ครม.สัญจรที่ จ.นราธิวาส 20-21 ม.ค.นี้ ว่า ขอบคุณที่ทุกคนรอต้อนรับการทำงานของ ครม.ช่วยกันทำงาน ช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน ตนพูดกับ ครม.ว่า เราต้องช่วยขับเคลื่อน ลงไปเยือนภาคใต้อีกครั้ง ต้องการให้เป็นดินแดนแห่งความสุข เจริญรุ่งเรือง ข้อสำคัญคือการพัฒนา ที่ผ่านมาไม่อยากให้เกิดความสิ้นเปลืองให้เจ้าหน้าที่มาดูแล แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีการหมุนเวียนการใช้จ่ายในจังหวัด ทุกครั้งที่ไป ครม.สัญจร จังหวัดไหนก็ตาม มีการใช้จ่ายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว แม้เป็นระยะสั้น เพราะมีหน่วยงานราชการลงไปเตรียมการในพื้นที่
ส่วนกระแสข่าวเปลี่ยนตัวโฆษกรัฐบาลนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดเรื่องนี้ ทุกคนตั้งใจทำงานกันเต็มที่อยู่แล้ว
@ ไม่กดดันตำรวจ จับโจรปล้นทอง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายปล้นทองที่ จ.ลพบุรี ว่า ขอให้ฟังจากตำรวจ รัฐบาลเร่งรัดอยู่แล้ว ตนก็เร่งทางตำรวจ แต่การเร่งก็จะกลายเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่ เดี๋ยวไม่ได้คนที่ทำผิดจริงๆ มาดำเนินคดี ซึ่งตนก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ตนคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องจับคนร้ายได้ อย่างไรก็ตาม คดีนี้ก็เหมือนกับคดีอื่นๆ แต่เป็นคดีอุกฉกรรจ์ ที่ประชาชนสนใจ แต่การแพร่ข่าวทุกวัน ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะอย่าลืมว่าคนร้ายก็ดูโทรทัศน์อยู่ทุกวัน จะให้บอกว่าได้ตัวแล้ว สงสัยคนนู้นคนนี้ ปิดล้อมตรงไหน คนร้ายก็รู้หมด ตนย้ำไปแล้วว่าอย่าให้ข่าวลักษณะนี้โดยเด็ดขาด
@ ไม่มีหน้าที่เคลียร์รอยร้าว สตช.
ส่วนปัญหาความขัดแย้งของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สตช.) นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องภายในของเขา ย้ำเตือนไปแล้วว่าให้รักษาองค์กรของท่านด้วย แต่ก็ต้องอยู่ที่คน ผมรับฟังผู้บังคับบัญชาที่รับผิดชอบโดยตรงชี้แจงมา และให้ความเป็นธรรมกับผู้ร้องเรียน ซึ่งมีคณะกรรมการวินัย คณะกรรมการกำลังพล ถ้าใครไม่ได้รับความเป็นธรรมก็สามารถอุทธรณ์ได้ มีคณะกรรมการดูเรื่องนี้ ตนไม่อยากให้ออกมาพูดในสื่อเพราะจะเสียหาย เพราะไม่ว่าใช่หรือไม่ใช่ ประชาชนก็จะเข้ามาตัดสิน ก็จะทำให้เสียทั้งหมด ดังนั้น ต้องดูพฤติกรรมคนที่ออกมาร้องเรียนด้วยว่ามีพฤติกรรมอย่างไร เท่าที่ทราบก็มีปัญหาพอสมควร อย่ามาตัดสินผิดถูกอะไรกันตอนนี้เลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ จะต้องเข้าไปไกลเกลี่ยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนเป็นใคร เป็นนายกฯ ใช่ไหม หน้าที่ตนคือสั่งการให้ผู้บังคับบัญชาได้ไปตรวจสอบ ชี้แจง หาข้อเท็จจริง หน้าที่ตนไม่ใช่เป็นหน้าที่เคลียร์ เรื่องนี้เป็นเรื่องภายใน ซึ่งเขามีคณะกรรมการก็ควรไปประชุมกันใน ก.ตร. ซึ่งเขามีคณะกรรมการตรวจสอบวินัย เขาก็จะชี้แจงเองว่าคนนี้เป็นอย่างไร พฤติกรรมที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีความผิดอะไรอยู่บ้างหรือไม่ และการออกมาร้องเรียนผิดวินัยหรือเปล่า แม้แต่การเอาเทปมาออกมันผิดหรือเปล่า มันบันทึกเสียงกันได้ไหม ใครเป็นคนเอาไปออก เขาสอบหมดนั่นแหล่ะ เขากำลังตั้งคณะกรรมการสอบอยู่ ไม่เช่นนั้นก็วุ่นไปหมดทุกอย่าง
@ แก้ภัยแล้งยั่งยืนต้องแผน 20 ปี
พล.อ.ประยุทธ์ ยังเน้นย้ำในเรื่องการสร้างความเข้าใจในรูปแบบการยั่งยืน หลายคนเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการแก้ไขปัญหา PM2.5 เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ขอให้ย้อนกลับไปดูว่าต้นเหตุการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนทำอะไรแล้วบ้างในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำมากมายมหาศาลแต่ยังไม่ครบ ตราบใดที่ยังไม่สมบูรณ์ทั้งระบบ จะต้องมีแผนบริหารจัดการน้ำ 20 ปี ทั้ง 5 ปีที่ผ่านมา 5 ปีต่อไป มีแผนไว้ทั้งหมดแล้วว่าจะทำได้หรือไม่ได้ แต่ปัญหาคือการทำประชาพิจารณ์ แม้จะมีการเวนคืนที่ดินมาแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องการเยียวยาเข้าไปอีก รวมถึงราคาที่ดินซึ่งมีมาตรฐานราคาอยู่แล้ว แต่ทุกคนต้องการราคาที่มากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งโครงสร้างพื้นฐาน อย่างถนนที่ยังช้าอยู่ต้องพิจารณาหามาตรการเหมาะสมในการดำเนินการ
“เรื่องฝุ่น ประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกกลุ่ม ทุกประเภทต้องร่วมมือกัน ไม่ว่าขับรถควันดำหรือควันไม่ดำ รู้ว่ารถตัวเองเป็นอย่างไรก็ต้องช่วยกันแก้ ถ้ามาจากการเผาก็ต้องลดการเผาให้ได้ เรื่องรถขนส่งมวลชน ต่อไปนี้การตรวจก็ต้องมีให้มากขึ้น รถคันไหนมีปัญหาก็ไม่ให้วิ่งจนกว่าจะแก้ไขได้ ต้องหามาตรการช่วยเหลือ เช่น การเปลี่ยนไส้กรองไอเสีย เอานักเรียนอาชีวะมาช่วยดูเครื่องยนต์ ก็ต้องช่วยกัน ผมเห็นว่าทุกคนมีความเดือดร้อนจำเป็นต้องใช้รถแบบนี้ ก็ต้องไปแก้ปัญหาให้เขา ทุกคนต้องช่วยกัน เพราะฝุ่นมาจากการจรจาจร 70% โรงงานอุตสาหกรรม 17% การเผาวัชพืช 5% รัฐบาลก็ต้องกำกับดูแล เช่น เปลี่ยนการใช้รถ เดินหน้าไปสู่การเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าใช่หรือไม่ ซึ่งไม่สามารถสั่งการได้ทีเดียว ทุกคนต้องร่วมมือกันที่ละขั้นตอน ทำไมไม่มองการใช้น้ำมันบี10 ทำให้มลพิษลดลง อยากให้มองแบบนี้ ท้ายที่สุดมาตรการที่รัฐบาลทำได้เต็มที่คือมาตรการทางกฎหมาย ห้ามรถวิ่ง ห้ามรถบรรทุกเข้าเมือง แล้วเดือดร้อนใครไหม ดังนั้น อะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกันก่อน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว