“ประยุทธ์” ให้กำลังใจหมอศิริราช ทำดีไม่สูญหาย พ้อพูดทีไรถูกบิดเบือน

เมื่อเวลา 08.45 น.วันที่ 16 เมษายน 2563 พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว. กลาโหม พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) เดินทางไปที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของคณะแพทย์และบุคคลากรทางการแพทย์ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และติดตามการใช้งานระบบเอไอ ที่กระทรวงดีอีเอสดิร่วมกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี ประเทศไทย(จำกัด) นำไปติดตั้งเป็นอุปกรณ์ช่วยแพทย์พยาบาลวิเคราะห์การติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเก็บข้อมูลจากผลเอ็กซเรย์ปอดมีความเสี่ยงติดเชื้อหรือไม่ โดยใช้เวลาวิเคราะห์เพียง 25 วินาที ถูกนำไปใช้แล้วที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งในเมืองอู่ฮั่นและอีกหลายๆเมือง ส่วนของไทยได้ติดตั้งแล้วที่โรงพยาบาลรามาธิบดี และที่โรงพยาบาลศิริราช และเตรียมขยายต่อไปยังโรงพยาบาลอื่นๆ ด้วย
นายกรัฐมนตรีได้ทักทายสนทนากับแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ในการปฏิบัติงานและให้กำลังใจทุกคนว่า “ผมชื่นชมหมอทุกคน ผมคุ้นเคยกับที่นี่ เพราะพ่อแม่ก็รักษาที่นี่ รวมถึงผมได้มาอารักขาเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมาประทับที่นี่และในหลายๆ โอกาส ชื่นชมมาโดยตลอดและเป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน ซึ่งสิ่งที่เราทำวันนี้ถือว่าทำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 พระองค์ท่านทรงฝากกำลังใจมาถึงพวกเราทุกคน ชื่นชมในการทำงานที่มีความก้าวหน้าในทางที่ดีขึ้น ผมถวายรายงานพระองค์ท่านทุกวัน โดยส่งข้อสรุปทั้งจากกระทรวงสาธารณสุข จากการแถลงศูนย์โควิด-19 ขึ้นไปทุกวัน พระองค์ท่านรับสั่งว่าหากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระองค์ทรงช่วยได้ขอให้บอกมา”
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากจะฝากไว้ว่าความดีที่ท่านทำในวันนี้ไม่มีสูญหายไปไหน มันจะสนองตอบกลับพวกเรา อาจจะไม่ได้เป็นอย่างอื่น อาจจะได้เพียงแค่ความสุขใจ เพียงความภาคภูมิใจของตนเองและครอบครัว เหมือนกับการทำงาน เปรียบเหรียญมีสองด้าน เราอาจจะอยู่หน้าบ้างหลังบ้างของเหรียญๆหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่ทุกคนรู้แน่แก่ใจว่าตัวเองทำอะไร เพราะฉะนั้นเราต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
“เมื่อวันที่ 15 เม.ย ผมก็ได้บอกในที่ประชุมครม.ว่าปีที่ผ่านมาเราทำอะไรผิด เราทำอะไรไม่ดีบ้าง ก็ต้องกลับมาทบทวน และกลับมาแก้ไขใหม่ในปีต่อๆไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้น ไม่ต้องบอกใคร ทุกคนรู้ตัวของเรา”
“ต้องขอโทษด้วยถ้ามีอะไรที่ทำให้พวกเราไม่สบายใจ ผมอาจจะติดนิสัยแบบนี้ แบบของผม คือเป็นทหารบ้างอะไรบ้าง บางทีพูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนบ้างอะไรบ้าง ผมเข้ารายละเอียดมากเกินไป ซึ่งมันไม่เหมาะสมกับการที่จะมาพูด สงสัยความเป็นนักการเมืองยังไม่ค่อยได้ใช่ไหม คือผมอยากให้คนเข้าใจ แต่ก็กลายเป็นถูกบิดเบือนเลยไม่พูดดีกว่า พูดทีไรก็มีปัญหาทุกที เพราะว่าเขาต้องการจะสร้างประเด็นต่อๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งบางทีมันมีผลเสีย หลายอย่างมันเกิดขึ้นได้อย่างไรในประเทศไทย สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดมันก็เกิด ถ้าดูข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์แต่ละวันไม่น่าเกิดขึ้นในประเทศไทย บอก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ละเมิดอะไรต่างๆ ขโมย โกง ปลอม มันเกิดขึ้นได้อย่างไรในประเทศไทย ผมว่าสังคมมันเปลี่ยนไปเยอะ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยว่า เราก็ห่วงลูกหลานเรา ถ้าเหมือนในสมัยพวกเราเข้มแข็งด้วยตัวของเราเอง เพราะสภาพแวดล้อมไม่ได้เป็นแบบนี้ เราก็เลยเข้มแข็งเพียงพอที่จะต่อสู้ แต่วันนี้สังคมกลายเป็นว่าทุกคนเป็นห่วงลูก ลูกเลยถูกปกป้องไว้อย่างนี้ การที่จะต่อสู้เลยไม่มี ทำให้เขาพร้อมที่จะถูกไปโน่นไปนี่ได้ตลอด เราทุกคนอยากให้ลูกมีความสุข สมัยเราลำบากเราก็ไม่อยากให้ลูกลำบากแบบเรา ก็ดูแลทุกอย่างจนกระทั่งไม่เข้มแข็ง นั่นคือสิ่งที่อันตรายในวันหน้า
“อีกเรื่องคือเงินบริจาคที่ได้รับมา ผมจะพิจารณาว่าเงินเหล่านี้จะมอบให้กรณีที่มีการสูญเสีย มอบให้พิเศษเพิ่มเติมจากงบของราชการปกติ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์”
ช่วงท้ายนายกฯยังได้พูดหยอกล้อว่า “เราสามารถคุยกันได้ในฐานะที่อยู่ในระดับบริหารด้วยกัน ซึ่งผมมองแบบนั้น และวันหน้าก็ฝากไว้ด้วย เผื่อคุณหมอคนไหนที่จะมาเป็นนายกฯ ซึ่งหมอหนูก็มีสิทธิ โอเคนะ อย่าพูดกันไปกันมา เพราะประเทศไทยพร้อมหาจำเลย ผมและรัฐบาลยกย่องการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นหลักในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งต้องเสียสละ ทำงานหนัก และมีความเสี่ยงอย่างมาก ยินดีสนับสนุนทุกวิถีทาง เพื่อดูแลช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ทุกคน เช่นล่าสุดครม.ได้อนุมัติให้เงินพิเศษ ให้โควตา 2 ขั้น อายุราชการทวีคูณ จ่ายเงินบุคลากรที่ติดเชื้อ และทำประกันสุขภาพให้ 320,000 กรมธรรม์”