ประยุทธ์ เคาะ เพิ่มเพดานงบกลางเป็น 7.5% รับโอนงบกลางแสนล้านสู้โควิด-19

เมื่อวันที่ 16 เมษายน 63 นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผู้อำนวยการ สำนักงบประมาณ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2563 ได้มีมติปรับสัดส่วนบางส่วนตามกรอบวินัยการเงินการคลัง เพื่อให้รับกับพระราชบัญญัติโอนงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 8 หมื่น- 1 แสนล้านบาท ที่รัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการออกร่างกฎหมายอยู่ในขณะนี้
ทั้งนี้ สัดส่วนที่มีการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ มี 2 ส่วน ทั้งทั้งหมด 5 ส่วน คือ สัดส่วนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จากเดิมที่กำหนดว่าต้องตั้งไม่น้อยกว่า 2% แต่ต้องไม่เกิน 3.5% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้ขยับเพดานขึ้นเป็น 7.5% เป็นการชั่วคราวสำหรับปีงบประมาณ 2563-2564 เพื่อรองรับงบประมาณที่จะโอนเข้ามายังงบกลาง ตาม พ.ร.บ.โอนงบประมาณ พ.ศ. 2563 เพราะหากไม่ขยับเพดานดังกล่าว เมื่อโอนงบกลางเข้ามาแล้วจะทำให้ไม่เป็นไปกรอบวินัยการเงินการคลัง
 
“จำเป็นต้องปรับเพดานของงบกลางขึ้น เพราะหากไม่ปรับเมื่อโอนงบปี 2563 เข้ามายังงบกลางแล้ว สัดส่วนงบกลางจะเกินเพดาน 3.5% เพราะปัจจุบันงบกลางปี 2563 ที่ 9.6 หมื่นล้าน หากรวมกับ 8 หมื่น- 1 แสนล้านที่จะโอนเข้ามาแล้วสัดส่วนงบกลางจะขึ้นมาอยู่ที่ 6.7% ของงบประมาณรวม การปรับเพดานครั้งนี้ปรับเป็นการชั่วคราวสำหรับปี 2563-64 ที่ต้องมีการบริหารการใช้งบประมาณช่วงที่ไวรัสโควิด-19ระบาดเท่านั้น ซึ่งถ้าสถานการณ์ดีขึ้นงบกลางก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่ม เป็นการเปิดเพดานไว้รองรับเท่านั้น” นายเดชาภิวัฒน์ กล่าว
ผู้อำนวยสำนักงบประมาณ กล่าวว่า อีกส่วนที่มีการปรับเปลี่ยนคือสัดส่วนการชำระคืนต้นเงินกู้ของรัฐและหน่วยงานของรัฐ จากเดิมที่ต้องตั้งไม่น้อยกว่า 2.5% แต่ไม่เกิน 3.5% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ได้ปรับสัดส่วนขั้นต่ำลงเหลือ 1.5% แต่ส่วนนี้เป็นเพียงการปรับสัดส่วนไว้เท่านั้น เพื่อรองรับกรณีหากกระทรวงการคลังจะตัดเงินจากส่วนนี้เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งที่จะอยู่ใน พ.ร.บ.โอนงบประมาณ ปี พ.ศ.2563 ด้วย แต่จะมีการตัดมาได้หรือไม่หรือมากน้อยเพียงใด ยังต้องหารือกับกระทรวงการคลังอีกครั้ง
ทั้งนี้ ภายหลังมีการปรับสัดส่วนทั้ง 2 ส่วน แล้วจะมีการออก ประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่องสัดส่วนต่างๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการคลังของรัฐใหม่ ให้นายกรัฐมนตรีได้ลงนามแล้วในวันนี้(16 เม.ย.) และจะได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการปรับสัดส่วนต่างๆ ตามกรอบวินัยการเงินการคลัง ในปี 2563 พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ได้กำหนดสัดส่วนงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ที่ 3% ของงบประมาณรวม 3.2 ล้านล้านบาท มีวงเงินอยู่ที่ 9.6 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2564 กำหนดสัดส่วนงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ 3% ของงบประมาณรวม 3.3% มีวงเงินอยู่ที่ 9.9 หมื่นล้าบาท หลังปรับสัดส่วนงบกลางเป็น 7.5% แล้ว จะทำให้เพดานสูงสุดของงบกลางของทั้ง 2 ปี ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 2.4 แสนล้านบาท และ 2.47 แสนล้านตามลำดับ
นายเดชาภิวัฒน์ กล่าวว่า สำนักงบประมาณจะเสนอร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณ พ.ศ. 2563 ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในวันอังคาร ที่ 21 เม.ย. นี้ โดยวงเงินอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่น- 1 แสนล้านบาท โดยเป็นส่วนที่ตัดมาจากงบของส่วนราชการที่ไม่สามารถลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภายในวันที่ 31 พ.ค. 2563 ได้
ส่วนกรณีที่ ครม. มีมติให้ปรับลดการใช้งบประมาณของส่วนราชการปี 2564 เพื่อตัดมาใช้จ่ายเพื่อรับกับสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด-19 นั้น ส่วนใหญ่เป็นงบอบรม สัมมนา และการไปดูงานต่างประเทศ ซึ่งตัดมา 25% คือในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ (ต.ค.-ธ.ค.) ที่คาดว่ากิจกรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นน้อยอยู่แล้วเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดอาจจะยังต่อเนื่อง และคนยังไม่มั่นใจที่จะเดินทาง หรือไปอบรม สัมมนา รวมถึงไปต่างประเทศ