เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2563 พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ต่อสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ยังไม่ยุติ และเชื่อว่าสังคมไทยจะต้องเผชิญกับโควิด 19 นี้ไปอีกนาน โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อ่านแถลงการณ์ว่า พรรคเพื่อไทยเห็นว่าได้เวลาที่สังคมไทยจะได้พิจารณาถึงการแก้ปัญหาการระบาดของโควิด 19 ของรัฐบาล ที่ได้ดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงขณะนี้ เพื่อถอดบทเรียน และหาแนวทางในการดำเนินการแก้ไขปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรง พรรคเพื่อไทยขอแถลงดังนี้
1. ตัวเลขสะสมของผู้ติดเชื้อ และผู้ที่รักษาหายถึงปัจจุบันในไทย เกิดจากปัจจัยหลัก 3 ปัจจัยคือ 1. ความร่วมมือและการเสียสละของพี่น้องคนไทย2. คุณภาพบุคลากรสาธารณสุขไทย 3. ระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งของไทย
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
1) ความร่วมมือและความเสียสละของคนไทย เป็นปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งที่ป้องกันการระบาดของเชื้อได้ชะงัก การรักษาระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ของคนไทย คนทำงานที่เสียสละและได้รับผลกระทบอย่างมากจากการปิดกิจการ และเจ้าของธุรกิจที่ต้องปิดกิจการตามคำสั่งของภาครัฐ อีกทั้งน้องๆนักเรียน นักศึกษาที่ต้องอยู่บ้านเนื่องจากการสั่งปิดสถานศึกษา พรรคเพื่อไทยชื่นชมความร่วมมือและการเสียสละของคนไทยทุกคนที่อยู่บ้าน และหยุดเชื้อ
2) ความสามารถและความเสียสละของบุคลากรสาธารณสุขไทย การระบาดของโควิด 19 พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนถึงศักยภาพของหมอ พยาบาล บุคลากรสาธารณสุข ที่ได้ทุ่มเทสกัดการระบาด และรักษาผู้ติดเชื้อจนหายได้เป็นจำนวนมาก
3) ความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทย ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าทำให้คนไทยมีหลักประกันการเข้าถึงการบริการด้านสาธารณสุขถ้วนหน้า รวดเร็ว จนทำให้การตรวจเชื้อ การควบคุมโรค และการรักษา เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. พรรคเพื่อไทยเห็นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะน้อยกว่านี้และสถานการณ์โควิด 19 ในไทยจะดีกว่านี้ ถ้าการจัดการแก้ปัญหามีประสิทธิภาพอย่างน้อย 7 เรื่องสำคัญดังนี้ 1) การไม่มีประสิทธิภาพในการจัดหาหน้ากากอนามัยและการขาดแคลนชุดป้องกันการติดเชื้อ (PPE)สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ จนทำให้ประชาชนต้องกระเสือกกระสนหาหน้ากากเพื่อปกป้องตนเองและครอบครัว น่าเศร้าใจที่มีการกักตุนหน้ากาก และน่าเห็นใจที่บางโรงพยาบาลต้องขอบริจาค PPE และหน้ากากอนามัย N95 สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
2) ความสับสนในมาตรการกักตัวผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ เช่นกรณีคนงานไทยกลับจากเกาหลีใต้ที่ขอให้กักตัวที่ศูนย์กักตัว แต่กลับถูกปล่อยให้กลับไปกักตัวเองที่บ้านภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ซึ่งทำให้เสี่ยงที่จะแพร่เชื้อสู่คนใกล้ชิด
3) การสั่งปิดกิจการในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อนประกาศมาตรการเยียวยาให้ชัดเจน ทำให้คนไม่มีงานทำเดินทางกลับบ้าน เสี่ยงแพร่กระจายเชื้อให้คนในต่างจังหวัด
4) ความล่าช้าในการปิดประเทศห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทย ทั้งๆที่พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้ปิดประเทศห้ามชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2563 แต่รัฐบาลมีคำสั่งห้ามต่างชาติเข้าไทยในวันที่ 2 เมษายน 2563 ซึ่งพบว่ามีชาวต่างชาติเข้าไทยติดเชื้อโควิด และมีความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
5) ความล่าช้าและการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึงและรวดเร็ว มี คน 23.5 ล้านคน ลงทะเบียนเพื่อขอรับการเยียวยา แต่คนได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทมีเพียง 14 ล้านคน ใช้เวลาถึง 50 วัน กว่าจะเยียวยาเสร็จ การเยียวยาล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพทำให้ประชาชนจำนวนมากเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ หิวโหย สิ้นหวัง ฆ่าตัวตาย ขณะนี้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมยังไม่ได้รับการเยียวยาอย่างครบถ้วน ธุรกิจขนาดเล็กยังไม่ได้รับการเยียวยา นอกจากนั้นพรรคเห็นว่าเกษตรกรควรได้รับการเยียวยาครอบครัวละ 35,000 บาท
6) ความล่าช้าในการคลายล็อคส่อทำให้เศรษฐกิจช็อค การคลายล็อคล่าช้าจะทำให้แผลทางเศรษฐกิจบาดลึกและรุนแรงขึ้น ปัญหาคนตกงาน คนขาดรายได้ เจ้าของกิจการที่ถูกสั่งให้ปิดแต่ต้องแบกรับภาระจ่ายค่าจ้าง จะส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจ จนยากที่จะแก้ไขฟื้นฟู
7) ความล่าช้าในการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม “พรก.ฉุกเฉิน” พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้รัฐบาลต้องสร้างความสมดุลด้านระบาดวิทยาและด้านเศรษฐกิจ คืนความเป็นปกติสุขให้ประชาชนพร้อมกับสร้างมาตรฐานการป้องกันตนเองให้ประชาชน และเสริมความเข้มแข็งด้านสาธารณสุข ความท้าทายระยะต่อไปคือ การฟื้นฟูและกอบกู้เศรษฐกิจที่เป็นผลพวงของโควิด-19 ที่มีคนจำนวนมากขาดรายได้ คนตกงานเกือบ 10 ล้านคน การปิดกิจการ การหดตัวของเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย จีดีพีไทยมีโอกาสติดลบ 5-9% ทั้งนี้การที่รัฐบาลได้กู้เงินจำนวนมหาศาล สมควรอย่างยิ่งที่งบประมาณเหล่านั้นจะตอบสนองทั้งในส่วนของความเข้มแข็งด้านสาธารณสุข การชดเชยเยียวยาในช่วงวิกฤติ การฟื้นฟูและปลุกชีวิตของเศรษฐกิจให้ได้
พรรคจะทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนตรวจสอบประสิทธิภาพและความโปร่งใสของการใช้เงิน 1.9 ล้านๆบาทที่จะใช้ฟื้นฟูประเทศอย่างเข้มงวด และจะรายงานให้พี่น้องประชาชนทราบเป็นระยะต่อไป