ศบศ. เทหมดหน้าตัก กระตุ้นเศรษฐกิจโค้งท้ายปลายปี

เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากการระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา 2019 (ศบศ.) ครั้งที่ 4/2563 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากากระทรวงกลาโหมเป็นประธานมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ภายใต้มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี ส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่น และส่งเสริมการอ่าน โดยเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท

กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กลุ่มผู้ประกอบการประเภทผู้ประกอบการค้าสินค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและผู้ประกอบการขายหนังสือและสินค้า OTOP โดยไม่รวมสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พักและค่าตั๋วเครื่องบิน มาตรการจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2563 เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2563 ณ มีนาคม 2564 โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเนื่องจากการดำเนินมาตรการทั้งหมด 55,500 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากประชาชนได้ใช้สิทธิ์โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการคนละครึ่งแล้ว จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้

อัดฉีด 3 แพ็กเกจ หมุนศก. 2 แสนล้าน

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า รวมทั้ง 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่

1. โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14 ล้านคน เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น คนละ 500 บาท/เดือน ระยะเวลา 3 เดือน (ต.ค.-พ.ย.63) วงเงินงบประมาณ 21,000 ล้านบาท

2. โครงการคนละครึ่ง จำนวน 10 ล้านคน ภาครัฐร่วมจ่าย 50 % ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน หรือ ไม่เกิน 3,000 บาท/คน ตลอดระยะเวลาโครงการ (23 ต.ค. – 31 ธ.ค.63) วงเงินงบประมาณ 30,000 ล้านบาท ทำให้มีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 60,000 ล้านบาท

3. มาตรการช้อปดีมีคืน จำนวน 3.7 ล้านคน ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการ ไม่เกิน 30,000 บาท (23 ต.ค. – 31 ธ.ค.63) คาดว่าจะเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี 11,000 ล้านบาท

“ถ้าไม่รวมโครงการเราเที่ยวด้วยกันและโครงการกำลังใจจะทำให้ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีมีเงินหมุนในเศรษฐกิจรวมทั้งหมด 200,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินงบประมาณของรัฐประมาณ 6 หมื่นกว่าล้านบาท”

ขยาย “เราเที่ยวด้วยกัน” ถึง 31 ม.ค.64 ปลดล็อก เที่ยวในจังหวัดได้

นายดนุชากล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกันและมาตรการกำลังใจ เสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ดังนี้

1. อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุข สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 570 คน และเจ้าหน้าที่หัวหน้างานสาธารณสุขมูลฐานและงานสุขภาพภาคประชาชนระดับจังหวัดและระดับอำเภอกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 2,615 คน ให้สามารถเข้าร่วมโครงการกำลังใจได้

2. อนุมัติให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้บริการโรงแรมที่พัก และใช้ E-Voucher สำหรับค่าสนับสนุนอาหาร ค่าเข้าชมแหล่งท่องเที่ยว ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ในจังหวัดภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านได้

3. อนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564

4. อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณดำเนินโครงการกำลังใจ และเราเที่ยวด้วยกัน ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564

เร่งแก้หนี้ 7 ล้านล้าน

นายดนุชากล่าวว่า ที่ประชุมยังได้รับทราบความคืบหน้ามาตรการเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนี้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย เสนอโดยธนาคารแห่งประเทศไทยประกอบด้วย 3 ระยะที่สำคัญ ดังนี้

1.การเยียวยาช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย SMEs Corporate ได้แก่ ลูกหนี้รายย่อย รวมมูลค่า 3.84 ล้านล้านบาท จำนวน 10.97 ล้านบัญชี ลูกหนี้ SMEs รวมมูลค่า 2.14 ล้านล้านบาท จำนวน 1.12 ล้านบัญชี และลูกหนี้ corporates รวมมูลค่า 0.92 ล้านล้านบาท จำนวน 37,114 บัญชี

2.สถาบันการเงินติดตามดูแลลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ติดต่อลูกหนี้ไปเยี่ยมกิจการ เพื่อประเมินผลกระทบรวมทั้งจัดทำช่องทางให้ลูกหนี้แจ้งสถานะและความประสงค์ในการรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เป็นต้น และ 3.การเตรียมมาตรการรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจในระยะต่อไป โดยลูกหนี้ธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายรายสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ DR BIZ ซึ่งเป็นระบบ one stop service ให้ลูกหนี้ได้ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อแก้ไขหนี้เดิม และมีโอกาสได้สินเชื่อใหม่

มาตรการด้านแรงงาน เสนอโดยกระทรวงแรงงาน ผลการดำเนินงานมาตรการด้านแรงงานล้านงานเพื่อล้านคนประกอบด้วย (1) งาน Job Expo Thailand 2020 ล้านงานเพื่อล้านคน ระหว่างวันที่ 26 ถึง 28 กันยายน 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค มีตำแหน่งงานที่รองรับรวมทั้งสิ้น 1,495,225 อัตรา และมีผู้เข้าร่วมงานทั่วประเทศจำนวน 125,383 คน มีผู้ที่สนใจติดตามงานตามช่องทางต่าง ๆ ทั้งสิ้น 2,254,712 คน/ครั้ง โดยมีสถานประกอบการที่มาออกบูธ 501 แห่ง มีตำแหน่งงาน 100,012 งาน ผู้สมัครงาน143,066 ครั้ง และมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครงาน 57,226 อัตรา

และ (2) เวบไซต์ไทยมีงาน ข้อมูล ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2563 มีตำแหน่งงาน 733,633 อัตรา ผู้สมัครงาน 112,806 ครั้ง และมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครงานทั้งสิ้น 45,112 อัตรา และสำหรับมาตรการอุดหนุนการจ้างงานเด็กจบใหม่ มีตำแหน่งงานทั้งสิ้น 74,351 อัตรา มีผู้สมัครงานทั้งสิ้น 39,033 คนและมีการจับคู่ระหว่างตำแหน่งงานและผู้สมัครได้ทั้งสิ้น31,876 อัตรา

ทั้งนี้รวมทุกมาตรการสามารถจับคู่ตำแหน่งงานได้ทั้งสิ้น 134,214 อัตรา สำหรับกิจกรรมรวมใจสร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่สำคัญ อาทิ การแนะแนวอาชีพและทดสอบความถนัดทางอาชีพ การอบรมพัฒนาทักษะอาชีพและเตรียมความพร้อม และการฝึกอาชีพอิสระ โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมรวมทั้งสิ้นทั้งสิ้น 3,391 คน

Smart Visa เพิ่มกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระไม่มีสัญญาจ้าง

มาตรการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (Smart visa) เสนอโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยมีความคืบหน้าการปรับปรุงมาตรการ Smart Visa ที่สำคัญ ดังนี้ (1) ปรับปรุงขอบเขตอุตสาหกรรมเป้าหมายให้กว้างขึ้น ไม่จำกัดอยู่ในอุตสาหกรรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการพัฒนาและบริหารกิจการที่เกี่ยวข้องกับ Startup Ecosystem และนวัตกรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสาขาอื่นนอกเหนือจากด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2) เพิ่มเติมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ไม่มีสัญญาจ้างงานในประเทศ อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ได้รับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

(3) ผ่อนคลายหลักเกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำสำหรับผู้เชี่ยวชาญทักษะสูงบางกลุ่มในธุรกิจวิสาหกิจและขนาดย่อม (SMEs) และผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับประสบการณ์การทำงาน และวุฒิการศึกษาของผู้บริหารระดับสูง และ (4) การอนุญาตให้ผู้ถือ Smart Visa ทำงานนอกเหนือจากที่ได้รับการรับรองได้ในบางกรณี โดยให้สามารถทำงานในกิจการอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับกิจการหรือความเชี่ยวชาญที่ได้รับการรับรองได้อาทิ กิจการในเครือกิจการที่มีความเชื่อมโยงหรือสนับสนุน เป็นต้น

โครงการคนละครึ่ง เสนอโดยกระทรวงการคลัง ความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2563 ของการลงทะเบียนร้านค้าโครงการคนละครึ่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 มีรายละเอียดดังนี้ (1) กิจการลงทะเบียนรวมทั้งหมด 210,010 ร้าน แบ่งเป็น กิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ จำนวน 152,795 ร้าน กิจการที่รอดำเนินการตรวจสอบ จำนวน 56,465 ร้าน และกิจการไม่เข้าข่ายเงื่อนไขของโครงการ จำนวน 750 ร้าน

(2) กิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จแบ่งออกเป็นกิจการที่มีหน้าร้าน จำนวน 127,852 ร้าน และหาบเร่และแผงลอยจำนวน 24,943 ร้าน (3) ประเภทของกิจการที่ลงทะเบียนสำเร็จ ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 90,052 ร้าน ส่วนร้านธงฟ้า มีจำนวน 41,331 ร้าน ร้าน OTOP จำนวน 4,991 ร้าน และร้านค้าทั่วไป จำนวน 16,421 ร้าน และ (4) กิจการที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง จำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 34.8 รองลงมาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 73,092 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 25.0 และภาคใต้ จำนวน 37,229 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 17.7 โดยในรายจังหวัดนั้นพบว่า กิจการที่ลงทะเบียนส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 25,526 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 12.2 รองลงมาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 7,105 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 3.4 และ สงขลา จำนวน 6,516 ร้าน คิดเป็นร้อยละ 3.1

มาตรการด้านการท่องเที่ยว เสนอโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประกอบด้วย (1) โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ความคืบหน้าล่าสุด ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2563 มีผู้ลงทะเบียนทั้งหมด 5.27 ล้านคนและมีผู้ใช้สิทธิแล้ว 1,406,808 คืน และมีสัดส่วนจากรัฐสนับสนุน 1,537.2 ล้านบาท สำหรับมูลค่ายอดใช้จ่ายE-Voucher รวมทั้งหมด 916.4 ล้านบาท มีสัดส่วนจากรัฐสนับสนุน 345.7 ล้านบาท

ขณะที่ตั๋วเครื่องบินมีผู้ใช้สิทธิแล้ว 51,753 สิทธิ ซึ่งมีสัดส่วนรัฐสนับสนุน 43.9 ล้านบาท สำหรับมูลค่ายอดใช้จ่ายภายใต้โครงการนี้รวมจำนวน ทั้งหมด 5,096.5 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ยอดมูลค่าโรงแรมที่พักจำนวน 4,049.7 ล้านบาท E-Voucher 916.4 ล้านบาท และสายการบิน 130 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยว 3,169.7 ล้านบาท และจากรัฐบาล 1,926.8 ล้านบาท

(2) โครงการกำลังใจ มีบริษัทนำเที่ยวเข้าร่วม จำนวน 3,959 บริษัท นักท่องเที่ยวเข้าร่วมจำนวน 379,771 คน และมีสัดส่วนรัฐสนับสนุน 759,542,000 บาท

STV ตอบรับเที่ยวไทยคึกคัก

(3) แนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ Special Tourist VISA (STV) ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่แจ้งความประสงค์เดินทางเข้าประเทศไทยภายใต้STV จากภูมิภาคต่าง ๆ รวม คน แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก จำนวน 924 คน ภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ จำนวน 229 คน ภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง จำนวน 462 คน ขณะที่มีนักท่องเที่ยวซึ่งสอบถามจำนวนเบื้องต้นจากภูมิภาคยุโรป แอฟริกา และตะวันออกกลาง จำนวน 500 คน และจากภูมิภาคอเมริกา จำนวน 69 คน

โดยในปัจจุบันมี 5 จังหวัดที่สามารถรองรับการกักตัวได้ ซึ่งแบ่งเป็นโรงแรมในกรุงเทพมหานครที่ผ่านการตรวจประเมิน Alternative State Quarantine (ASQ) จำนวน 84 แห่ง และโรงแรมในชลบุรี บุรีรัมย์ ภูเก็ต และปราจีนบุรีที่ผ่านการตรวจประเมิน Alternative Local Quarantine (ALQ) จำนวน 11 แห่ง (4) โครงการ Thailand Elite Member Quarantine (TEMQ) ซึ่งมีจำนวนสมาชิกที่อยู่นอกประเทศไทยประมาณ 7,000 คน นั้น พบว่ามีสมาชิกที่ตอบรับโครงการ TEMQ และนำส่งกระทรวงต่างประเทศผ่าน ททท. แล้ว จำนวน 448 คน สมาชิกที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงต่างประเทศแล้วจำนวน 304 คน สมาชิกที่ได้รับ COE และเที่ยวบินจำนวน 49 คน สมาชิกที่เดินทางถึงประเทศไทยแล้วและอยู่ในระหว่างการกักตัว จำนวน 35 คน และสมาชิกที่เสร็จสิ้นการกักตัวในเดือนกันยายนทั้งสิ้น 14 คน

(5) โครงการกระตุ้นการเดินทาง Workation Thailand ทำงานเที่ยวได้ รวมใจช่วยชาติโดยเชิญชวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ องค์กร และหน่วยงาน ร่วมซื้อแพคเกจในโครงการพร้อมสิทธิพิเศษอื่น ๆ มากมาย ทั้งนี้หน่วยงานเข้าร่วมโครงการจะได้รับของรางวัล Certificate และโล่ประกาศเกียรติคุณจากฯพณฯนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา