ประยุทธ์ ซัดพวกฉวยโอกาสวิกฤตโควิด ใช้วิธีแยบยลบ่อนทำลายชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ประยุทธ์ซัดพวกฉวยโอกาสดิสเครดิตรัฐบาล ใช้วิธีแยบยลบ่อนทำลายชาติ ยืดอกขอโทษ-ลูกผู้ชายพอ ลั่น 4-5 ปี ประเทศไทยเห็นหน้าเห็นหลังแน่นอน

เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 ที่รัฐสภา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 วันที่สอง ว่า ผมนั่งฟังแต่เช้าแล้ว เห็นหลายท่าน ไม่มีใครพูดดีให้ผมอยู่แล้ว ค้านก็ต้องค้าน ทำลายก็ต้องทำลาย ประเทศชาติผมว่าอยู่เหนือกว่านั้นนะครับ และผมยืนยันว่า ผมทำเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด อาจจะมีอะไรที่ยังไม่สำเร็จบ้าง หรือสำเร็จไปแล้วท่านไม่ได้ติดตาม ท่านก็ไม่ได้มองในแง่มุมดี ๆ บ้างเลย ท่านไม่เคยเอาไปเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนนั้นบ้างเลย ท่านกรุณาให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลด้วย กับผมด้วย ดิสเครดิตอย่างเดียว ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรท่าน ท่านจะพูดอะไรก็ได้อยู่แล้วในสภา สุดแล้วแต่ประชาชนจะเชื่อมั่นได้อย่างไร เชื่อมั่นหรือเปล่า ท่านใช้คำว่าประชาชนทั้งประเทศ ทั่วประเทศ ก็ฟังไปแล้วกัน

“ท่านบอกว่าผมไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ผมเตรียมทุกอย่าง เตรียมความพร้อมเจรจากับต่างประเทศ ดูแลเรื่องกฎหมายที่ยังไม่เรียบร้อย ปรับได้ก็ปรับ เพราะกฎหมายใช้เป็นเวลานาน ในส่วนจีดีพี ท่านพูดแต่ทำนองว่าจีดีพีอย่างเดียว วันนี้ท่านก็ฉวยโอกาสในช่วงช่วงที่มีโควิด-19 ซึ่งไม่มีประเทศไหนที่มีจีดีพีสูงเลย”

เรื่องหนี้ครัวเรือน หนี้ กยศ. หนี้ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ไม่ได้ทำกันง่าย ๆ ถ้าท่านคิดว่า สิ่งที่ท่านเสนอมา พูดมาแล้วเก่งจริง ท่านน่าจะทำตั้งแต่สมัยรัฐบาลท่านให้จบ เรื่องค่าโง่ มันโง่ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันถึงเวลาที่ผมต้องมาแก้ไขใช่ไหม หลายอย่างแก้ไปแล้ว หลายอย่างยังแก้ไม่ได้ หลายอย่างอยู่ในชั้นอนุญาโตตุลาการ เรื่องซอฟต์โลนก็ต้องใช้เวลา ผมไม่อยากให้ท่านพูดแบบหาเสียงตรงนี้ ที่นี่ไม่ใช่เวทีหาเสียง เป็นเวทีที่มาช่วยกันแก้ปัญหา

ผมฟังประชาชนทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ประชุมทั้งส่วนตัว เรียกมา ส่วนตัวไม่ใช่ที่บ้าน ผมไม่เคยรับใครที่บ้าน ไม่เคยมีแขกไปที่บ้านผมเป็นเวลากว่า 10 ปีมาแล้ว ไม่เคยออกไปไหน 10 ปีมาแล้ว ไปเที่ยว ไปสถานที่ต่าง ๆ ผมไม่เคยไป นอกจากไปทำงานเท่านั้น ที่ทำเนียบรัฐบาล และไปตรวจเยี่ยม แต่ผมฟัง ฟังในสิ่งที่ท่านพูด ฟังในสิ่งที่ท่านสื่อโซเชียล ผมฟังแล้วบางทีก็อเนจอนาถใจเหมือนกันในการพูดจาที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง บิดเบือน
เรื่องการต่างประเทศดำเนินนโยบายอย่างสมดุล จะมาหาว่าผมไปเป็นเมืองขึ้น เมืองขึ้นใครครับ เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใครมาก่อน ท่านพูดอย่างนี้ เสียเกียรติภูมิประเทศไทย ผมทำทุกอย่างให้เกิดความสมดุลระหว่างมหาอำนาจกับมหาอำนาจ ในเวทีต่างประเทศผมไม่น้อยหน้าไปกว่าใครในศักดิ์ศรีของประเทศไทย ผมได้รับการตอบรับจากผู้นำประเทศหลายประเทศ

เรื่องแผนเปิดประเทศ ถ้าสามารถทำได้ในเดือนตุลาคม 64 ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็เปิดเป็นเซ็กเตอร์ไปก่อน ด้านการท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นเป้าหมายสำคัญของชาวต่างประเทศ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 พวกเราต้องช่วยกัน ท่านแนะนำอะไรผมมา ท่านกรุณาช่วยผมด้วย ในฐานะที่ท่านเป็น ส.ส. อย่าทำให้คนแปลกแยกเป็นสองฝ่าย มันก็ไม่เกิดความร่วมมือ ทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่สำเร็จ

การชุมนุมก็ยังมีคนพูดอยู่ว่าถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าถูกต้องตามกฎหมายใครจะไปทำอะไรท่าน และผมเห็นว่าเป็นการไม่สมควรที่ ส.ส.ไปอยู่เบื้องหลัง กฎหมายนะครับ อย่าลืม ผมกลัวกฎหมาย ผมกลัวการทุจริต เพราะมีแบบอย่างมากแล้ว มีคดี มีหลักฐานชัดเจน ถูกลงโทษ ติดคุก หนีคดี ท่านไม่ต้องมาขู่ผมหรอกครับ เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ผมเคารพอยู่เสมอมา ก็ว่ากันไป อย่าขู่ผมบ่อยนัก

“อย่าบอกว่ารัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ผมฟังทุกอย่าง แต่ผมต้องหาวิธีการที่เหมาะสมในการดำเนินการ ไม่ใช่ขออะไรมาก็ได้ทั้งหมด หลายอย่างอย่าให้ดราม่ามากนัก อย่าเอาข้อมูลตามโซเชียลมาพูด อย่าเอาข้อมูลบางข้อมูลมาแสดง ประชาชนไม่ใช่ต้องขึ้นกับใคร เพราะมีระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่มีหลายคนที่พยายามบ่อนทำลายในความเข้มแข็งในลักษณะนี้ทุกอย่าง ทุกประการ เถียงมาสิครับว่าไม่มี พยายามทำทุกอย่าง”

ขอให้ประชาชนที่ฟังอยู่ทางบ้านได้เข้าใจว่าการทำงานของรัฐบาลต้องแก้ปัญหาที่หมักหมม และวันนี้เผชิญกับสถานการณ์วิกฤตโควิดเข้าไปอีกก็ต้องแก้โควิดเข้าไปด้วย ขณะเดียวกันก็ต้องเตรียมอนาคตของประเทศเราเอาไว้ด้วย การที่จะทำให้จีดีพีสูงขึ้น ต้องมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด จะบอกว่าไม่มีอนาคตได้อย่างไร แต่ก่อนมีไหมครับ อะไรที่รัฐบาลทำไปที่จะมุ่งหวังแต่สิ่งที่ดี เป็นอนาคต ท่านทำลายความเชื่อมั่นไปหมด แล้วประเทศชาติจะได้อะไรจากการที่เรามานั่งกันอยู่ตรงนี้ ก็ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น เวลาก็ผ่านไปวัน ๆ โดยที่ขัดแย้งกันตลอดเวลา

“ขอให้ไปดูว่ารัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง ผมเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมเคยอยู่กับทุกรัฐบาลมา โดยสนับสนุนทุกรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย พอผมเข้ามาเอง ผมก็รู้แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะมีอ้างตรงโน้น ตรงนี้ วันนี้ พ.ศ. อะไรแล้วครับ ย้อนกลับไปกลับมาอยู่นั่นแหละ ผมถามแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ที่ทำให้ผมต้องมายืนอยู่ตรงนี้”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เรื่องหนี้สาธารณะ พูดแล้วพูดอีก กู้ขาดดุลทุกรัฐบาล มีการกู้เงิน เราก็ต้องกู้ มีความจำเป็นก็ต้องกู้ แต่ไปดูว่าที่กู้มาตัวเลขมันสูง แต่มันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ที่เป็นเม็ดเงิน กี่โครงการ ถนนหนทาง รถไฟ รถไฟฟ้า แหล่งน้ำ บ้านเมืองเป็นยังไงตอนนี้ มันแตกต่างกว่าเมื่อ 5 ปี 7 ปีที่แล้วยังไง ไปดูสิครับ นั่นแหละครับ คือ ผลงานที่มองไม่เห็น ไม่ใช่ค้านทุกเรื่อง มันไม่มีอะไรใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้หรอกครับถ้ามันอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งกันอยู่แบบนี้ และมีสถานการณ์อื่นเข้ามาด้วย อย่าฉวยโอกาสจากสถานการณ์วิกฤต ในเรื่องของกระบวนการประชาธิปไตยอะไรของท่านก็แล้วแต่

“ผมเสียใจ ผมขอโทษ ถ้าทำอะไรที่ไม่พอใจ ผมลูกผู้ชายพอ ผมไม่ใช้วิธีการแยบยลในการบ่อนทำลายกัน ผมเคารพ ผมนับถือ หลายท่านเป็นคนดี หลายท่านรักประเทศชาติ แต่บางคนรักตัวเองมากกว่า เลิกซะที นึกถึงประเทศของเรา ทุกเช้านึกถึงประเทศจะทำอะไรวันนี้ ถ้าคิดว่าจะต้องทำลายกันทุกวัน ก็เป็นเรื่องของท่าน”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า ช่วงนี้ติดโควิด ทำอะไรไม่ได้มากนัก ทำแผนงานโครงการรอไว้เลย ประเทศเรามีความพร้อมทุกอย่าง ผมยืนยัน เมื่อเปิดทุกอย่างให้เรียบร้อย มีการพบปะพูดคุย ตอนนี้ก็พบปะพูดคุยกับนักลงทุนผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ภาย 4-5 ปี ประเทศไทยเห็นหน้าเห็นหลังแน่นอน จากโครงสร้างต่าง ๆ ที่ทำไว้ทั้งหมด