ครม. ไฟเขียว ช้อปดีมีคืน ลดหย่อนภาษีสูงสุด 3 หมื่นบาท

ครม. แจกของขวัญปีใหม่ ช้อปดีมีคืน ลดหย่อนภาษีสูงสุด 3 หมื่นบาท ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์-ยาสูบ น้ำมันเชื้อเพลิง คาดสูญรายได้ 6.2 พันล้านบาท

วันที่ 21 ธันวาคม 2564 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ปี 2565 (มาตรการของขวัญปีใหม่ 2565) มาตรการช้อปดีมีคืน ปี 2565 เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี และผู้ประกอบกิจการการผลิตสินค้าท้องถิ่น (OTOP) กลุ่มเป้าหมาย ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

โครงการดังกล่าวจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2565 โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ

สำหรับซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักร ยกเว้นค่าสุรา เบียร์ ไวน์ ค่ายาสูบ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท คาดว่าจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประมาณ 6,200 ล้านบาท

6 มาตรการของขวัญปีใหม่ ฟื้นเศรษฐกิจ

ด้าน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2564 ได้เห็นชอบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 หรือ มาตรการของขวัญปีใหม่ รวมทั้งสิ้น 6 มาตรการ ประกอบด้วย

1. มาตรการช้อปดีมีคืน โดยให้นำรายจ่ายการซื้อสินค้าและบริการ มาหักลดหย่อนภาษี ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.2565 รวม 46 วัน

ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 6,200 ล้านบาท แต่คาดว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 42,000 ล้านบาท ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 0.12% และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการทั่วไป เข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มากขึ้น

2. มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ และไพ่ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค.2565 แก่ผู้ประกอบการรายเดิม ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และต้องการขออนุญาตขายต่อเนื่องในปีถัดไป ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ประมาณ 800,000 ราย คิดเป็นใบอนุญาต 1.4 ล้านใบ โดยรัฐจะสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียม 380 ล้านบาท

3. มาตรการขยายการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบิน อัตราภาษีตามปริมาณ 0.20 บาทต่อลิตร ออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 มิ.ย. 2565 เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะธุรกิจสายการบิน ให้สามารถฟื้นฟูและกลับมาดำเนินธุรกิจได้โดยเร็ว ทั้งนี้ คาดว่าในปี 2565 ธุรกิจสายการบินจะกลับมาดำเนินกิจการได้ราว 50% ของปี 2562 ซึ่งมาตรการดังกล่าว คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ 860 ล้านบาท

4. มาตรการขยายระยะเวลา การลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระที่ต้องการมีอยู่อาศัยเป็นของตนเอง ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยลดค่าจดทะเบียนการโอนและจดจำนอง เหลือ 0.01% ออกไปอีก 1 ปี ไปสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.2565 คาดว่าจะทำให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สูญเสียรายได้ 4,946 ล้านบาท

5. มาตราการทางภาษีและค่าธรรมเนียม เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ ที่เป็นสถาบันการเงิน โดยขยายเวลาออกไปอีก 5 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2564 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2569 ซึ่งคาดว่ามาตรการด้านภาษี จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ 7,000 ล้านบาทต่อปี และมาตรการค่าธรรมเนียม รัฐสูญเสียรายได้ 835 ล้านบาท

6. โครงการของขวัญปีใหม่ ปี 2565 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการโดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่อง และเป็นทุนหมุนเวียน การคืนเงินให้แก่ลูกหนี้เงินกู้ที่มีประวัติการชำระดี รางวัลพิเศษสำหรับลูกค้าออมสิน การยกเว้นค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญา ส่วนลด ค่าบริการ และค่างวด สำหรับการค้ำประกันสินเชื่อ เป็นต้น

ทั้งนี้ คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวม 25,000 ล้านบาท การคืนเงินและรางวัลพิเศษรวม 1,335 ล้านบาท การลดอัตราดอกเบี้ยรวม 4,700 ล้านบาท ส่วนลดค่าบริการและส่วนลดค่างวดสูงสุดรวม 7.43 ล้านบาท