เลือกตั้งซ่อมหลักสี่ 4 พรรคสู้ พปชร.ขายลุงตู่ เพื่อไทยเคาะทุกประตูบ้าน

รายงานพิเศษ

ศึกเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ กทม.แทน “สิระ เจนจาคะ” ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสอยร่วงลงจากเวทีผู้แทนอันทรงเกียรติ เนื่องจากเคยถูกศาลพิพากษาจำคุกคดีฉ้อโกงเมื่อปี 2538 สะดุดคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ 2560

ผลต่อเนื่องที่ตามมาจากคำวินิจฉัยของคดี “สิระ” อาจเจอ “ดาบสอง” ข้อหารู้อยู่แล้วว่าตัวเองขาดคุณสมบัติแต่ยังลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สามารถหยิบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไป “ต่อยอด” เอาผิดในคดีอาญาได้

โดยดำเนินการตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 มาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแต่ยังลงสมัคร ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

ดาบสาม เรื่องการเรียกเงินคืนตามมาตรา 151 วรรคท้ายระบุว่า ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่งดังกล่าวให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย

ดาบที่สี่ บ่วงกรรมของ “สิระ” อาจไปกระทบชิ่งผู้ที่เซ็นชื่อรับรองให้ “สิระ” ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อปี 2562 คือหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐตอนเลือกตั้งปี 2562 นั่นคือ อุตตม สาวนายน ตาม พ.ร.ป.รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 120 ที่ระบุว่า หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดออกหนังสือรับรองผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกําหนด 5 ปี และพรรคพลังประชารัฐอาจเสี่ยงถูกยุบพรรคอีกด้วย!

เอฟเฟ็กต์ของ “สิระ” กระทบไปหลายต่อหลายทอด และที่สำคัญคือจะต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ใหม่ ผลคะแนนเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ที่ “สิระ” เป็นอันดับหนึ่ง ที่ได้ 33,321 คะแนน เอาชนะสุรชาติ เทียนทอง จากพรรคเพื่อไทย ที่ได้ 30,564 คะแนน เฉือนกันแค่หลักพันคะแนน เพราะมีอันดับ 3 กฤษณุชา สรรเสริญ จากพรรคอนาคตใหม่ มาตัดคะแนน 23,693 คะแนน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ โดย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ได้อันดับ 4 มี 15,102 คะแนน

พลังประชารัฐขายผลงานลุงตู่

เมื่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่อาจจะระเบิดศึกในปี 2565 ช่วงกลางปี ทำให้การเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ กทม.กลายเป็นการโหมโรงศึกเลือกตั้ง กทม.ไปโดยปริยาย

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) “ตัวต้นเรื่อง” แกนนำ-ส.ส.กทม. จับกลุ่มลุ้น “คดีสิระ” จนถึง “นาทีสุดท้าย” ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้อดีต ส.ส.เขต 9 กทม. พปชร.พ้นจากสมาชิกภาพ

ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ชื่อของ “สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ” ที่ถูกวางตัวให้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม.เขต 10-ดอนเมือง พปชร.ถูกส่งมาเป็นหนึ่งใน “มวยแทน” ผู้เป็นสามี

“จักรพันธ์ พรนิมิตร” ส.ส.เขต 10 พลังประชารัฐ ในฐานะหัวหน้าภาค กทม. วิเคราะห์การเลือกตั้งในพื้นที่ กทม.ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย คือ 1.พรรคการเมืองที่สังกัด 2.นโยบาย 3.ชื่อผู้ถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี

“สำหรับประชาชนใน กทม. การที่ผู้แทนฯ
ได้ออกสื่อได้เห็นในระดับภาพกว้าง 
มีส่วนทำให้คนจำได้ ผู้แทนฯ กทม.ต้องมีสมดุลระหว่างงานในพื้นที่กับงานเชิงนโยบายที่ให้ชาวบ้านเห็นว่าผลักดันอะไรบ้าง”

“การเลือกตั้งเมื่อปี’62 คน กทม.เลือกเพราะคนที่พรรคเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างประชาธิปัตย์กับพลังประชารัฐ คิดว่าการเลือกตั้ง (ทั่วไป) ครั้งหน้าก็ยังเป็นแบบเดิมอีก ยังเชื่อว่าตัวบุคคลที่เสนอเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นปัจจัยในการเลือก ส.ส.กทม.”

ส่วนการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.ครั้งนี้ “จักรพันธ์” ยังเชื่อว่า 3 ปัจจัยดังกล่าวยังมีผลต่อการตัดสินใจของคน กทม.อยู่ แต่ได้เพิ่ม “ปัจจัยใหม่” คือ “ผลงานของรัฐบาล”

“เรื่องผลงานรัฐบาล ความนิยมของท่านนายกฯ บวกกับนโยบายของพรรคยังสำคัญอยู่ สำคัญพอ ๆ กัน”

“ส่วนตัวผู้ลงสมัครก็ต้องดูคุณสมบัติเบื้องต้น พิจารณาเป็นรายบุคคล เพราะการเลือกตั้งซ่อมคนเห็นชัด ไม่เหมือนการเลือกตั้งทั่วไป เป็นเรื่องของภาพรวมของประเทศ”

“แต่พอเป็นการเลือกตั้งซ่อมเขตใดเขตหนึ่ง เรื่องตัวบุคคลก็จะชัดเจนขึ้นมา ต้องดูคุณสมบัติของตัวบุคคลละเอียดมากขึ้น เช่น การลงพื้นที่ต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะคน กทม.ไม่ได้เลือกที่ตัวคน ดูที่นโยบาย ดูที่ผลงาน”

“กก.บห.พปชร.รายหนึ่ง” เปิดเผยว่า ที่มีข่าวว่านางสรัลรัศมิ์เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.หลักสี่ ในการเลือกตั้งครั้งหน้ายังไม่ได้เคา เป็นเพียงบุคคลที่เสนอตัวลง ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าไว้เท่านั้น

ส่วนใครจะลงเขตยังไม่ได้เคาะ เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้าการแบ่งเขตต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว และจำนวน ส.ส.เขต กทม.เพิ่มขึ้น

“เป็นเพียงรับทราบไว้ก่อนว่ามีคนที่แสดงความจำนงกี่คน ยังไม่ได้เคาะเรื่องเขต ยกเว้นเขตที่มี ส.ส.เดิมอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่ใช่ ส.ส.ยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา”

พลังประชารัฐคิดหนัก จะเอานามสกุล “เจนจาคะ” ที่ยัง “เปื้อนมลทิน” คำพิพากษา
ศาลแขวงปทุมวัน-ศาลรัฐธรรมนูญใส่ตะกร้าล้างน้ำให้ “ชาวหลักสี่” เข้าสภาอีกครั้ง

พท.เคาะทุกประตูบ้าน

พรรคเพื่อไทยไม่ต้องคิดให้ปวดหัว เพราะส่งคนเดิม คือ “สุรชาติ เทียนทอง” แชมป์เก่าในการเลือกตั้งปี 2554 แม้ปี 2562 จะพลาดเป็นอันดับ 2 แต่ก็เพราะมีพรรคการเมืองฟากเดียวกันอย่าง “อนาคตใหม่” ไปตัดคะแนน แพ้ “สิระ” อันดับที่หนึ่งไป 2,700 คะแนน ดังนั้น “สุรชาติ” จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

“วิชาญ มีนชัยนันท์” ประธาน ส.ส. กทม. และประธานโซน 3 กทม. ในฐานะผู้รับผิดชอบตรงในการเลือกตั้งเขตดอนเมือง สายไหม บางเขน บึงกุ่ม คันนายาว มีนบุรี คันนายาว และบางกะปิ เปิดเผยยุทธศาสตร์การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ว่าจะเน้นการพบปะประชาชนในพื้นที่แบบ “เคาะประตู” ทุกบ้าน

เนื่องจากการเลือกตั้งซ่อมไม่เหมือนการเลือกตั้งทั่วไป อีกทั้งเราเป็น “ฝ่ายค้าน” จึงต้องเสนอการทำงานของฝ่ายค้าน เป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชน เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาประชาชนเพื่อนำไปบอกต่อในสภา

อีกทั้งจะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลในสภา เพราะรัฐบาลปัจจุบันบริหารงานอะไรแปลก ๆ

แม้เป็นฝ่ายค้าน ไม่ได้ขายผลงานแบบฝ่ายรัฐบาล แต่ “วิชาญ” เชื่อว่า “สุรชาติ” มีโอกาสชนะ โดยยกตัวอย่างการเลือกตั้งซ่อมในยุคพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เวลาเลือกตั้งซ่อมคนก็เลือกพรรคประชาธิปัตย์เพื่อไปตรวจสอบการทำงานพรรคเพื่อไทยอันนี้ก็เช่นเดียวกัน

ส่วนเรื่องพรรคพลังประชารัฐอาจส่ง “สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ” ภรรยาสิระลงแทนนั้น “วิชาญ” ประเมินว่า ภรรยาไม่ใช่ตัวนายสิระ และไมได้ถ่ายเลือดเป็นนายสิระ เวลานายสิระลงพื้นที่ภรรยาไม่ได้ตามไปด้วย ขณะที่นายสุรชาติเกาะติดพื้นที่ตลอดจึงคิดว่าไม่มีผลกระทบอะไร

ประชาธิปัตย์ แพ้ไม่ได้

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ชื่อ “ผู้การแต้ม” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ เจ้าของฉายา “มือปราบหูดำ” อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 9 กทม. “นอนมา”

“ผู้การแต้ม” ถูก “วางตัว” ให้เป็นว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม.เขต 10 ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ปัจจุบันแม้มีสถานะ “ส.ส.สอบตก” แต่ยังเกาะติด-ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง “ควงคู่” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค-รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ “แถลงผลงาน”

“แกนนำพรรคประชาธิปัตย์” รายหนึ่งกล่าวว่า ระยะเวลาในการหาเสียงสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.มีไม่มากเพียง 45 วัน ปชป.จะระดมบุคลากรของพรรคที่มีชื่อเสียงมาช่วยหาเสียง บวกกับความนิยมส่วนตัวของ พล.ต.ต.วิชัยเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว การมีระยะเวลาหาเสียงเพียงสั้น ๆ จึงไม่ใช่อุปสรรค

ส่วนความพ่ายแพ้สนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 3 นครศรีธรรมราช-ปิดตำนาน “บ้านใหญ่เสนพงศ์” ที่ยังเป็น “แผลสด” จะไม่ทำให้ประชาธิปัตย์ต้อง “อกหักซ้ำสอง” เพราะปัจจัยภายนอกทั้งกระสุน-กระแสของพรรคคู่แข่ง

“การเลือกตั้ง ส.ส.เขต 9 กทม.รอบที่แล้ว ประชาธิปัตย์ไม่ได้แพ้เพราะตัวบุคคล แต่แพ้เพราะกระแสคะแนนของประชาธิปัตย์ถูกแบ่งไปยังพรรคพลังประชารัฐ ขณะที่พรรคเพื่อไทยคะแนนนิ่งเป็นกอบเป็นกำ”

“การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.รอบนี้ ประชาธิปัตย์จึงแพ้ไม่ได้” แกนนำพรรคประชาธิปัตย์รายเดิมระบุ

ทว่า การเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 9 กทม. ระหว่างพลังประชารัฐกับประชาธิปัตย์ “หนีไม่ออก” ที่จะ “ตัดแต้มกันเอง”

ก้าวไกล ส่ง เพชร กรุณพล

ด้านพรรคก้าวไกลเปลี่ยนตัวผู้สมัคร จากคนเก่า “กฤษณุชา สรรเสริญ” ที่เคยได้อันดับ 3 ในการเลือกตั้งปี 2562 ดึงนักแสดง “กรุณพล เทียนสุวรรณ” มาเป็นตัวเลือกใหม่ให้กับชาวหลักสี่ เพราะนอกจากเขาจะฝากฝีมือการแสดงบนจอแก้ว ยังออกมาวิจารณ์การเมือง ปรากฏตัวให้กำลังใจม็อบราษฎรด้วย

นอกจากนี้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ฉายภาพสิ่งที่จะไปขายในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ว่า เป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ชาวหลักสี่ต้องเจอเรื่อง SMEs ในพื้นที่ ซึ่งได้รับรายงานว่าได้รับผลกระทบอยู่เป็นเวลานานพอสมควร จะต้องให้ว่าที่ผู้สมัครเสนอสิ่งที่คิดว่าสำคัญในพื้นที่ จุดอะไรที่เขาอยากจะขาย จะเป็นจุดตัดสินว่าใครจะได้ลงสมัครในนามพรรคก้าวไกล

กล้าทุ่มสุดตัว “ส.ส.คนแรก”

อีกพรรคการเมืองน้องใหม่ที่น่าจับตา-ประมาทไม่ได้ คือ “พรรคกล้า” ของ “กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรค โดยมีรายงานว่า พรรคกล้า “ทุ่มสุดตัว” เตรียมส่ง “เอ๋” อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 9 กทม. ประเดิม (ว่าที่) ส.ส.คนแรกของพรรค

การเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ครั้งนี้ พลาด…ไม่ได้