พรรคสร้างอนาคตไทย สมคิดแคนดิเดตนายกฯ ไม่หนุนประยุทธ์

พรรคสร้างอนาคตไทยอุตตม-สนธิรัตน์” เปิดตัวคืนสนามการเมือง ไม่ซ้ายสุดขั้ว ไม่ขวาสุดโต่ง อยากเห็น สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขึ้นเป็นผู้นำ

วันที่ 19 มกราคม 2565 ที่ห้อง World Ballroom โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ พรรคสร้างอนาคตไทย นำโดย นายอุตตม สาวนายน อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมผู้ร่วมก่อตั้งพรรค อาทิ นายสุพล ฟองงาม นายสันติ กีระนันทน์ สองอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่เพิ่งลาออกจากการเป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ  เปิดตัวพรรคสร้างอนาคตไทย ภายใต้ธีม #ร่วมสร้างอนาคตไทย ฟื้นเศรษฐกิจ สร้างอนาคตประเทศ

ทั้งนี้ นายอุตตมกล่าวว่า สร้างอนาคตไทยไม่ได้เป็นแค่พรรคการเมือง แต่เป็นพื้นที่เปิดเพื่อรวบรวมบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย ระดมความคิดเห็น ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ คนละไม้คนละมือ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ฟื้นประเทศ เพื่ออนาคตคนรุ่นต่อไป ทั้งนี้ สถานการณ์ปัจจุบันน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะปัญหาปากท้องประชาชน รายได้ที่ถดถอยสวนทางกับค่าครองชีพ อีกทั้งภัยพิบัติโควิด-19 เรายังไม่เห็นถึงจุดสิ้นสุด

ในมิติของสังคม เมื่อเศรษฐกิจสะดุดก็ซ้ำเติมปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำให้มากขึ้น กระทบต่อความมั่นคงทางสังคม และยังบั่นทอนคุณภาพชีวิต และความหวังของคนไทยในอนาคต ตนและนายสนธิรัตน์ ตลอด 1 ปีครึ่งที่ออกจากรัฐบาล ได้มีโอกาสเจอผู้คนหลากหลาย รับฟังเสียงสะท้อน ซึ่งเป็นความต้องการอยากเห็นสมการการเมืองที่เปลี่ยนแปลง

เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่นอีกครั้ง อยากเห็นพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของกลุ่มประชาชน ในหลากหลายภาคส่วน มาระดมกำลังแก้ไขปัญหาประเทศ สร้างอนาคตเพื่อที่เราไม่ต้องเผชิญกับความท้อแท้ กังวล ว่าอนาคตเราจะไปต่อกันได้อย่างไร

นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง
นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง

ไม่ซ้ายสุดขั้ว ขวาสุดโต่ง

นายอุตตมกล่าวว่า พรรคสร้างอนาคตไทยถือกำเนิดจากกลุ่มบุคลากรหลากหลายความรู้ ประสบการณ์ ถือเป็นประสบการณ์ที่ระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วน รวมคนจากคนการเมืองที่พร้อมเข้ามา และเชิญชวนประชาชนที่ยังไม่พร้อมที่จะเข้ามาทำงานการเมืองโดยตรง แต่มีใจสนับสนุนความคิดแก้ปัญหาให้ประเทศชาติ

เช่น ได้เชิญชวนบุคลากร อดีตรัฐมนตรี ข้าราชการ ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญด้านเอกชน พรรคเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถผนึกกำลังคนไทย ทั้งภาคการเมือง ภาคผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ สามารถทำงานได้จริง ภาคประชาชนที่ต้องการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้ประเทศ นี่คือจุดยืนของพรรคที่เป็นพื้นที่เปิดรับ

ปัญหาบ้านเมืองใหญ่หลวงนัก ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยคนจำนวนน้อย จากนี้ไปเราจะเริ่มระดมความคิด รับฟังความคิดเห็นจากประชาชนทั่วประเทศ เพื่อที่จะตกผลึกในปัญหาและกำหนดแนวความคิด นโยบาย ยุทธศาสตร์ แนวทางปฏิบัติที่ทำได้จริง เพื่อมาช่วยกันแก้ปัญหาจัดการประเทศในปัจจุบัน

รวมถึงวางรากฐานเพื่ออนาคตต่อไป เรามุ่งมั่นว่า ประชาชนคนไทยต้องมีความหวังที่จับต้องได้ มีโอกาสพัฒนาความสามารถ ความฝันของแต่ละคน และต้องมีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อต่อยอดความคิดและธุรกิจของตนเอง ต้องมีสิทธิเสรีภาพ ได้รับความเท่าเทียม และเสมอภาค

“เราจะไม่ซ้ายสุดขั้ว เราจะไม่ขวาสุดโต่ง เราจะไม่โกง ไม่ปล้นชาติ เราอาสาเป็นหนึ่งในทางเลือกให้คนไทย ดังนั้น ขอโอกาสเชิญชวนทุกคนมาสร้างอนาคตไทยด้วยกัน” นายอุตตมกล่าว

นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน พร้อมผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย
นายอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พร้อมผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย

เพื่อความหวังประชาชน จึงต้องกลับมา

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า วันนี้ไม่ใช่วันเปิดพรรค แต่นำผู้ร่วมเจตนารมณ์มาเปิดเผยต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก พรรคนี้เกิดขึ้นเพราะสถานการณ์ของบ้านเมือง ทั้งสองคนไม่คิดกลับมาทำงานการเมืองอีก เพราะเราคิดว่าเพียงพอแล้วหลังจากทำงานมาหลายปี แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้น เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ประชาชนต่างมองหาความหวัง ว่าอะไรคือความหวังที่จะพาพวกเขาฝ่าวิกฤตของชีวิต ตั้งแต่ความเป็นอยู่ ทั้งโควิด-19 กระทบปัญหาปากท้อง รายได้

สิ่งเหล่านี้ ทีมงานทั้งหมดหารือเป็นระยะ และรู้สึกว่าอาจเป็นอีกครั้งหนึ่งที่มาขออาสา ความหวังของประชาชนคือจุดเริ่มที่สำคัญ หากประชาชนขาดแล้วซึ่งความหวัง เราจะเรียกร้องขอความร่วมมือจากประชาชนไม่ได้ สิ่งที่ชาติต้องการคือความหวังและความร่วมมือของประชาชน

เป็นจุดเริ่มที่เราเห็นว่าสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบันอาจไม่เพียงพอ การตั้งพรรคการเมืองไม่ง่าย ไม่ได้เป็นสิ่งที่คิดและตั้ง แต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าพรรคนี้จะนำพาพวกเขาไปได้ จากจุดนี้ พวกเรามีโอกาสได้คุยกันว่า ปัญหาวันนี้ถลำลึก เนื่องมาจากการบริหารบวกกับสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะปีท้าย ๆ เราเหนื่อย เพราะสถานการณ์ซ้ำเติม

เป็นจุดที่เราเริ่มพบปะผู้คนมานานพอสมควร กระทั่งเห็นว่า ยังมีพลังที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง เห็นพลังของนักการเมืองทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ มีพลังของผู้บริหารระดับโลก ใช้ชีวิตต่างประเทศ เห็นการเกิดขึ้น เห็นการล่มสลายร่วมเข้ามาแลกเปลี่ยน รวมถึงประชาชน และพลังเหล่านั้น เราได้ตัดสินใจร่วมกันว่ามีความจำเป็นอีกครั้งว่าประเทศควรมีความหวังอีกหนึ่งความหวัง

เราได้รวบรวมขุนพลชุดที่หนึ่งที่แสดงเจตนารมณ์ก่อตั้งพรรคด้วยกัน ไม่มีใครอยากมาเสนอตัวทางการเมือง โดยเฉพาะคนที่ประสบการณ์ เป็นอดีตข้าราชการ เป็นผู้บริหารภาคเอกชน ยากที่จะเปิดตัวอาสาทำการเมือง แต่ด้วยความมุ่งมั่นของพวกเรา เป็นแค่คนชุดแรกที่แสดงเจตนารมณ์ก่อตั้งพรรคที่อยู่ข้างหลัง บางท่านไม่พร้อมเปิดเผยตัว แต่วันนี้เราโชคดี มีตั้งแต่อดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คนที่อยู่กับธนาคารโลก เห็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม เป็นคนที่เชื่อมโยงระหว่างธนาคารโลกกับสหประชาชาติ

เรามีนักธุรกิจที่เข้าใจ SMEs เรามีคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจการค้าที่ต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายในอนาคต ไม่เพียงแต่เศรษฐกิจ แต่เกี่ยวข้องกับทุกด้านในอนาคต อย่างไรก็ตาม พรรคนี้ไม่ใช่พรรคนักการเมืองแต่เพียงอย่างเดียว ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนมาร่วมกัน มีปราชญ์ชาวบ้านที่ทำงานกับสังคมมา 30-40 ปี ที่ลุกขึ้นมาสร้างพรรคการเมือง วันนี้เขาขอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาคการเมือง

พรรคนี้เกิดมาเพื่อแก้ปัญหา และปัญหาครั้งนี้ลงลึกมาก การทำงานของเราคงไม่ทำงานแค่กลุ่มคน จะต้องถูกแก้ไขจากผู้ที่รู้จริง จากองค์กรที่รู้จริง ไม่ใช่จากการคิดและคาดการณ์เอาเอง รวบรวมความคิดเห็นจากผู้รู้แต่ละด้าน เตรียมพบกับมิติใหม่ของพรรคที่จะสร้างเครื่องมือระดมความคิดเห็นนับหมื่น นับแสนในแต่ละเรื่อง ตั้งใจผลิตนโยบาย แล้วเอาสิ่งเหล่านั้นมาร้อยเรียง

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีต รมว.พลังงาน
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

เคลื่อนไหวตั้งแต่วันนี้

นายสนธิรัตน์กล่าวว่า บางเรื่องพรรคจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แม้ยังไม่ถึงวันเลือกตั้ง เรื่องใดที่สำคัญและจำเป็นรอไม่ได้ พรรคจะเคลื่อนไหวประเด็นเหล่านั้นอย่างชัดเจน แม้จะต้องยื่นแก้กฎหมายพรรคก็จะดำเนินการ เพื่อไม่ให้ประเทศถดถอยไปมากกว่านี้

การหาคนร่วมอุดมการณ์ในทางการเมืองนั้นยากยิ่ง แต่วันนี้เรามีเพื่อนร่วมอุดมการณ์แล้ว และเราจะขยายอีกมาก เราจะทำงานบนอุดมการณ์เดียวกัน เพราะเป็นความยั่งยืนของพรรคการเมือง สร้างให้สังคมเชื่อมั่น จะเข้ามาแก้ปัญหาที่จมลึกในสิ่งที่ประชาชนทุกข์ยากตั้งแต่การก่อตัวของพรรคในวันนี้

เราจะต่อสู้ในสิ่งที่กัดกร่อนทำลายบ้านเมือง เราจะทำให้บ้านเมืองนี้มีโอกาส พรรคนี้ไม่ใช่เป็นพรรคของคนใดคนหนึ่ง เราเป็นเพียงคนที่เคยมีประสบการณ์ เป็นผู้ที่อาสาเป็นผู้รวบรวม ข้างหลังเรายังมีอีกมาก ไม่ใช่แค่เราสองคน สิ่งที่เราตั้งใจ พรรคสร้างอนาคตไทยจะต้องเป็นหนึ่งในเสาหลักของการเมืองไทย เชื่อมโยงจุดเปลี่ยนผ่าน สภาวะปัจจุบัน ปัญหา สิ่งที่ซับซ้อนในสังคมจะต้องถูกวางอนาคตไปสู่วันข้างหน้า เปิดกว้างทุกวัย แม้แต่คนรุ่นใหม่ เพราะอนาคตประเทศไม่ใช่คนรุ่นเราอีกต่อไป จะประคับประคองคนรุ่นใหม่ สร้างความรู้ ประสบการณ์ บุคลากร สร้างพรรคไม่ใช่เพื่อการเลือกตั้ง แต่เพื่อยึดโยงกับประชาชน

“จะสร้างนักการเมือง หรือผู้บริหารประเทศ ที่มีความพร้อมบริหารประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่มีตำแหน่ง เราจะสร้าง ส.ส.ของพรรคให้เป็น ส.ส.อุดมการณ์ในการทำงานนิติบัญญัติเพื่อบ้านเมือง จะสร้างคนรุ่นต่อไปที่จะเข้ามาสู่การเมือง เป็นเบื้องต้นที่เอามาเล่าให้ฟัง” นายสนธิรัตน์กล่าว

พุ่งเป้าแก้เศรษฐกิจ ไม่ขัดแย้ง

จากนั้น  นายอุตตมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า เราอาสามาทำงานให้บ้านเมือง เป็นหน้าที่ก็ได้ ในฐานะคนไทยที่เข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาของประเทศ ส่วนในอนาคตหากได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง เราเชื่อว่ามีความพร้อมที่จะเข้าไปทำงานให้ประชาชน

“สถานการณ์วันนี้แตกต่างจากวันนั้น (ก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ) พอสมควร วันนั้นเรามุ่งมั่นทำงานให้ประเทศชาติ เหตุการณ์เปลี่ยนไป เราก็ยุติบทบาท ได้แต่ติดตามดูพร้อมกับพบปะผู้คน แต่วันนี้เราเห็นว่าประเทศชาติต้องการรวมพลังมาทำงาน คือการตัดสินใจตั้งพรรคอนาคตไทย ประชาชนให้ความไว้วางใจ เราพร้อมที่จะทำงาน”

ส่วนจุดยืนของพรรค “ไม่ซ้ายสุดขั้ว ไม่ขวาสุดโต่ง” นั้น นายอุตตมกล่าวว่า จุดยืนของพรรค เข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศ โดยเฉพาะฟื้นเศรษฐกิจ วางรากฐานของอนาคตไทยเพื่อความมั่นคง ยั่งยืน  ในการที่เราบอกว่าไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อที่เราสามารถขับเคลื่อนอาสามาทำได้ คือ ฟื้นเศรษฐกิจ ฟื้นฟูประเทศ ไม่ต้องการความขัดแย้งใด ๆ วันนี้ความขัดแย้งการเมืองไม่สามารถทำหน้าที่ให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง เราไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการประท้วง

ไม่หันหลังกลับ – ประยุทธ์ ไม่ใช่แคนดิเดตนายกฯ

ส่วนจะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯหรือไม่ นายอุตตมกล่าวว่า เรียนตามตรง ผมและนายสนธิรัตน์ เคยทำงานในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาล ทำงานให้บ้านเมือง หลาย ๆ เรื่องบรรลุคืบหน้า แต่เมื่อเงื่อนไขการเมืองเปลี่ยนเราก็ออกมา วันนี้เราทำพรรค ถามว่าทำให้ใครไหม.. ทำให้ประชาชน ไม่ได้ทำให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง พวกผมเดินออกมาแล้ว ไม่หันหลังกลับ

นายสนธิรัตน์กล่าวเสริมว่า ถามว่าพวกเราอยู่ตรงไหน วันนี้เป็นวันที่สังคมไทยอยู่ยาก เพราะความแตกแยกร้าวลึก ความขัดแย้งแบ่งเป็นสองขั้ว สิ่งที่พรรคทำจะไม่ซ้ำเติมความแตกแยกของสังคมไทย บางทีบ้านเมืองที่มีความคิดเห็นต่างกัน ต้องมีอะไรที่เข้ามาเปลี่ยนแปลง ดุลยภาพทางการเมืองวันนี้เห็น 2 มิติ มี 2 ขั้วที่แตกต่าง ซึ่งความเห็นที่แตกต่างไม่ใช่อุปสรรค แต่ความเห็นทางการเมืองจะต้องไม่นำไปสู่ความแตกแยกที่รุนแรง ร้าวลึก หรือเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มคน วัยของผู้คน

“พรรคจะเข้ามาสร้างพรรคที่จะไม่ทำร้าย หรือสร้างความแตกแยกให้มากกว่านี้”

ส่วนเรื่องอนาคตของพรรค เราเคยร่วมทำพรรคพลังประชารัฐ โดยเราก็ยังมีอุดมการณ์ที่เคยทำยังอยู่ในใจของผมเสมอ เรามีอุดมการณ์ทางการเมือง เราไม่ใช่นักการเมืองที่เข้ามาทำเพื่อผลประโยชน์พวกพ้อง พิสูจน์ได้ เราทำเพื่อประเทศชาติไปข้างหน้า

ในกรณี พล.อ.ประยุทธ์ เคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชา และท่านพูดแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างพรรคสร้างอนาคตไทย และเป็นเรื่องจริง ท่านคงรับทราบจากสื่อเหมือนพวกเรา และเราไม่ได้ทำพรรคเพื่อสืบทอดอำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่สร้างพรรคเป็นหนึ่งในตัวแทนของประชาชนมา เข้ามาแก้ปัญหา

“เราจะไม่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรค เรามีจุดยืนสรรหานายกฯ และสามารถให้เกิดการนำพาประเทศไทยแข่งขันกับนานาประเทศได้ อันนี้ไม่ได้เป็นข้อขัดแย้ง แต่เป็นจุดยืนของพรรคว่าจะไม่เสนอท่านนายกฯประยุทธ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค” นายสนธิรัตน์ กล่าว

สมคิด ไม่ทอดทิ้ง – อยากเห็นเป็นผู้นำ

คำถามเรื่องส่วนจะสนับสนุนใครเป็นนายกฯ นายอุตตมกล่าวว่า เรื่องการพิจารณา พรรคมีขั้นตอนในการร่วมกันพิจารณา ผู้ที่เรามีชื่อว่าเข้าข่าย มีคุณสมบัติ เช่นเป็นผู้ที่นำพาประเทศผ่านความขัดแย้ง ไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง เป็นผู้ที่มีความสามารถเชิงบริหาร เป็นผู้นำ เป็นผู้ที่สมควรได้รับการยอมรับในต่างประเทศ เพราะประเทศไทยไม่ได้อยู่คนเดียว ส่วนใครที่จะได้รับพิจารณาขึ้นอยู่กับพรรค

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี

เมื่อถามว่า ชื่อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” อยู่ในใจหรือไม่ และให้ช่วยย้ำว่าไม่ใช่พรรคอะไหล่ของ พล.อ.ประยุทธ์ นายอุตตมกล่าวว่า เป็นที่ทราบดีว่านายสมคิดสนิทกับพวกเรา ตอบตรง ๆ ท่านไม่ทอดทิ้งพวกเรา ถามว่าท่านสนไหม ผมเชื่อว่าท่านทราบ แต่ที่พวกเรามารวมพลังกัน พวกเราก็จะช่วยพิจารณา เพราะมี 3 ชื่อแคนดิเดต เราจะเสนอทั้ง 3 คน นายสมคิดจะอยู่ในนั้นหรือไม่ก็ต้องพิจารณาอีกหนึ่งคือหัวหน้าพรรค อีกหนึ่งเราจะดูว่าใครเหมาะสม

“และยืนยันว่าพรรคนี้ไม่ใช่อะไหล่ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน”

นายอุตตมกล่าวว่า ส่วนใครจะเป็นหัวหน้าพรรคนั้น พรรคต้องผ่านฝ่ายบริหารพรรค ยังไม่ได้กำหนด

นายสนธิรัตน์กล่าวเสริมว่า นายสมคิดเป็นที่จับตา ในฐานะที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ หลายฝ่ายอยากเห็นท่านขึ้นมาเป็นผู้นำ แต่พรรคมีหลักการในการเสนอชื่อนายกฯ ในนามพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคจะคัดคนที่มีคุณสมบัติตามนั้น จากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการของพรรค เพื่อเสนอชื่อท่าน 3 ชื่อ ซึ่งจะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

พรรคมีจุดยืนชัดเจนเรื่องตำแหน่งแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค และเรากล้าประกาศว่า เราจะไม่เสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเหตุนี้ ไม่ได้มีเจตนาเรื่องอื่น แต่เราจะเสนอภายใต้หลักการของพรรค  และยืนยันว่า เราไม่ได้ตั้งพรรคมารองรับผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เราจะเลือกว่าเราทำงานกับใคร หรือพรรคที่เราทำงานด้วยต้องมีอุดมการณ์ และมีเป้าหมายสอดรับกับจุดยืนของพรรค ไม่คิดหรือว่าพรรคสร้างอนาคตไทยเป็นแกนนำรัฐบาล เลือกคนเข้ามาทำงาน

โหวตให้ ประยุทธ์ เป็นเรื่องหลังเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า ในอนาคตหากจะต้องโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในสภา พรรคยืนยันว่าจะไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ใช่หรือไม่ นายสนธิรัตน์กล่าวว่า ไม่ใช่ หากเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย คงไม่ใช่สิ่งที่ทำการเมืองว่า จะเอาอย่างไร

แต่วันนั้นหากมีการเลือกตั้งแล้ว พรรคจะเป็นผู้พิจารณาว่าพรรคจะทำบทบาทอะไร บน ส.ส.ที่พรรคมี และพรรคตัดสินใจในเวลานั้นว่าพรรคจะตัดสินใจเวลานั้นว่า จะทำงานกับใครไม่ทำงานกับใครในเวลานั้น แต่จุดตัดสินใจของพรรคคือ เราขับเคลื่อนพรรค อุดมการณ์ เป้าหมายของพรรคได้หรือไม่

“ถ้าหากการกระทำใดก็ตาม ที่เราไม่สามารถขับเคลื่อนอุดมการณ์ และเป้าหมายจากการตั้งพรรคของเราได้ พรรคก็จะอยู่ในบทที่เราสามารถทำได้ คงเป็นเรื่องของอนาคต ไม่ใช่ประกาศว่าเอาใคร ไม่เอาใคร”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

เฉดอุดมการณ์ ต่างกับพรรคฝ่ายขวา

ความแตกต่างของพรรคสร้างอนาคตไทย กับ พรรคเฉดขวา เช่น พรรคกล้า พรรคพลังประชารัฐ พรรค กปปส. (หากมีในอนาคต) นายอุตตมตอบคำถามนี้ว่า พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหน จะต้องนำเสนอกับประชาชนว่าจุดยืนคืออะไร และจะสามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายบนจุดยืนนั้นอย่างไร

สำหรับพรรคสร้างอนาคตไทย มีเป้าหมายจุดยืนที่ชัดเจน เราเข้ามาเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ เพราะเราเห็นว่าปัญหาปากท้องสำคัญที่สุด เราแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่า เราจะเน้นระดมผู้คนจากหลายภาคส่วน ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่พรรคตั้งไว้ จะปรากฏมาให้ประชาชนได้เห็นว่าพรรคสร้างอนาคตไทย สามารถรวบรวมผู้คน เหมือนที่อาสาไว้หรือไม่

นายสนธิรัตน์เสริมว่า พรรคสร้างอนาคตไทยแตกต่างจากพรรคอื่นแน่นอน เพราะพรรคนี้จะฟื้นเศรษฐกิจ พรรคเราจะมุ่งหน้าฟื้นเศรษฐกิจประเทศ เป็นพรรคที่มีประสบการณ์ มีผู้เชี่ยวชาญ นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดของพรรคสร้างอนาคตไทย

สานงานต่อ เพราะงานเก่ายังไม่เสร็จ

อย่างไรก็ตาม ทั้งนายสนธิรัตน์ นายอุตตม เคยอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ หลายนโยบายไม่สามารถทำได้จริงตามที่ประกาศไว้ จะมั่นใจได้อย่างไรที่จะทำได้จริง นายสนธิรัตน์ตอบคำถามนี้ว่า เรื่องฟื้นเศรษฐกิจคณะทำงานของพรรคทำงานต่อเนื่องแล้ว

การแก้ปัญหาเศรษฐกิจวันนี้ระยะสั้น เรื่องปากท้องประชาชน การทำมาหากิน แต่บนการแก้ปัญหาระยะสั้น เราได้มองภาครวมทั้งระบบของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ คำถามคือเอางบประมาณที่ไหนมาแก้เศรษฐกิจ แล้วเอาเงินเหล่านั้นมาทำอย่างไรให้เศรษฐกิจหมุนเวียน สิ่งเหล่านี้เราศึกษาไว้ และจะเริ่มเมื่อพรรคได้ทำงาน

“การแก้เศรษฐกิจนั้น ทำอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนลดค่าใช้จ่ายของตัวเอง ให้มีค่าใช้จ่ายที่ลดลง และสร้างรายได้อย่างไร สอดรับกับภาพเชิงงบประมาณ และการแข่งขันประเทศ ที่สำคัญประเทศไทยเดี่ยว ๆ ไม่ได้”

“ที่ถามว่าสมัยก่อน ทำไมไม่ทำ หรือทำไม่ได้ ที่ผ่านมาผลงานด้านเศรษฐกิจของพวกเราทำไว้เยอะ บางเรื่องทำไม่เสร็จ บางเรื่องเปลี่ยนแปลง แต่ที่เราทำครอบคลุมมากมาย แต่หลายนโยบายที่จะทำแต่สั้นเกินไป เราอยู่แค่ปีเดียว หลายนโยบายต้องแก้ที่กฎหมาย หรือแก้ที่โครงสร้าง เราจึง ไม่ได้ทำต่อ”

นายอุตตม เสริมว่า ต้องแก้เศรษฐกิจเฉพาะหน้าคือเรื่องปากท้อง แต่พรรคสร้างอนาคตไทยให้ความสำคัญในการเตรียมประเทศไทยเพื่อเข้าสู่อนาคต วันนี้ปัญหาเฉพาะหน้ารุมเร้ามาก ไม่มีการคิดถึงอนาคตเท่าที่ควร เราไม่สามารถที่จะรอจนแก้ปัญหาเสร็จแล้วมาแก้อนาคต เราต้องทำตั้งแต่วันนี้

การลงทุนเพื่ออนาคต การเข้าสู่โลกของเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคโนมีจะทำกันอย่างไร การที่ทำให้ประเทศไทยอยู่บนจอเรดาร์ของประเทศคู่ค้า ผู้ลงทุน วันนี้เป็นอย่างไร วันนี้ต้องคิด ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเยียวยา ถูกต้อง แต่ต้องมากกว่านั้น เพราะเขาขาดทุนที่จะต่อยอดต่อไป ปัจจุบันและอนาคตไปด้วยกัน

โครงการสวัสดิการแห่งรัฐ เราริเริ่มไว้ตั้งแต่ต้น วันนี้เราต้องทำ ไม่ใช่ช่วยเฉพาะหน้าสิ่งที่จำเป็น เรื่องการโยกย้ายเงินพร้อมเพย์เราก็ได้เริ่มไว้ โครงการอีอีซี เป็นสิ่งที่เราได้เริ่มไว้ และเราก็เริ่มทำงานต่อเนื่อง ถ้ามีโอกาสได้เข้าไปทำงาน เพื่อให้ไทยไม่เสียโอกาส คนไทยไม่เสียโอกาส

ขุนพลสร้างอนาคตไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย อาทิ  นายกำพล ปัญญาโกเมศ  อดีตอธิการบดีนิด้า นายนริศ เชยกลิ่น อดีตผู้บริหารระดับสูงด้านอสังหาริมทรัพย์และการเงิน นายสุพล ฟองงาม อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ นายสันติ กีระนันทน์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ

นายบุญส่ง ชเลธร ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบสวัสดิการประเทศยุโรป นายมนต์ชีพ ศิวะสินางกูร ครูและนักดนตรีชื่อดัง นายวิรัช วิฑูรย์เธียร อดีตหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อม จากธนาคารโลก นายอิธวัฒน์ พิทักษ์คุมพล รองเลขาธิการจุฬาราชมนตรี

นายรักษ์พงศ์ เซ่งเจริญ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้าน นายณพพงศ์ ธีระวร อดีตประธานสมาพันธ์ SME