พรรคใหม่ประชันทีมเศรษฐกิจ ชงลงทุนครั้งใหญ่-รื้อราคาพลังงาน

รอง

การระบาดของโรคโควิด-19 เศรษฐกิจไทยตกอยู่ในสภาวะ “หยุดชะงัก” รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้ยาแรงล็อกดาวน์เศรษฐกิจ แต่รักษาเพียง “ยาแก้ปวด”

1 พฤษภาคม 2565 เศรษฐกิจไทยจาก “เผาหลอก” สู่ “เผาจริง” เข้าสู่ยุค “ข้าวยากหมากแพง” ราคาสินค้าขึ้นยกแผง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์-ทีมเศรษฐกิจ ยังคิดไม่ตก นโยบายเศรษฐกิจ จมอยู่กับ “คนละครึ่ง”

3 พรรคการเมือง “น้องใหม่” ที่ชู “จุดขาย-จุดแข็ง” เรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ขายไอเดียแก้วิกฤตเศรษฐกิจ ปักธงความหวังที่พอจะฝากผีฝากไข้

“กรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรคกล้า มองผ่านเลนส์อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง-ขุนคลังโลกในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้เห็นถึงโจทย์-ความท้าทายเศรษฐกิจขณะนี้ คือ 1.สินค้าราคาแพง 2.รายได้ฝืด และ 3.หนี้ท่วม

“เราอยู่ในช่วงดอกเบี้ยโลกขาขึ้น สงคราม (รัสเซียกับยูเครน) และโควิด-19 บีบการค้าระหว่างประเทศ และวัตถุดิบสำคัญของแทบทุกอุตสาหกรรมขาดแคลนและราคาแพง”

สถานการณ์ปัจจุบัน ต้องมียุทธศาสตร์และนโยบายที่ชัดเจน ฐานะการคลังยังดี แต่ต้องเปลี่ยนวิธีใช้เงินกู้และเงินงบประมาณของรัฐ “รัฐบาลกู้แต่เอกชนต้องเป็นผู้ได้ใช้”

ถึงเวลาที่ต้องมียุทธศาสตร์ภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่จะนำไปสู่การ “ลงทุนครั้งใหญ่” ในประเทศ ผ่านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม

“ในสถานการณ์เช่นนี้ ต้องใช้มืออาชีพ ไม่ใช่เวลาที่นักการเมืองรอฟังรายงานจากข้าราชการอย่างเดียว ฝ่ายบริหารต้องรู้จริง คิดเองได้ กล้าตัดสินใจ”

“กรณ์” ทิ้งท้ายว่า ประเด็นสำคัญ คือ นโยบายต้องเข้ากับยุคสมัย ต้องมีนวัตกรรมเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลาในการออกแบบนโยบาย และเป็นสาเหตุที่การเมืองวันนี้ต้องพึ่งมืออาชีพ มีทั้งประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจ

อีก 1 พรรคการเมืองน้องใหม่ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย ที่เพิ่งเปิดไพ่คิด-สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

“อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เกาไปที่ราคาน้ำมันแพง ชี้ทางออกจากวิกฤตพลังงาน คือ 1.ภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และ 2.โครงสร้างภาษีน้ำมัน

ราคาน้ำมันดีเซลหน้าปั๊มจะขึ้นเป็น 32 บาทต่อลิตร สิ่งที่ตามมาแน่ ๆ คือ เราต้องควักเงินออกจากกระเป๋าสตางค์เพิ่มขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ราคาข้าวของก็จะสูงขึ้น เพราะต้นทุนการผลิต การขนส่ง ที่ปรับตัวตามราคาน้ำมัน

ในเวลาที่ประชาชนลำบากอย่างนี้ รัฐต้องเสียสละ อย่าไปมุ่งอยู่กับเป้าของการเก็บภาษีให้ได้ตามเป้า การที่น้ำมันดีเซลราคาขึ้นก็เพราะต้นทุนน้ำมันจากราคาตลาดโลกที่คุมไม่ได้ บวกกับโครงสร้างภาษีและอื่น ๆ ที่เป็นสูตรเฉพาะของเรา “เรื่องภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล รัฐควรต่ออายุการลดออกไปอีก รัฐต้องยอม ต้องมาช่วยอุ้มประชาชน และโครงสร้างต้นทุนราคาน้ำมัน คือคำตอบ คือทางออกของเรื่องนี้”

โดยวันนี้กองทุนน้ำมันฯติดลบ ประมาณ 24,000 กว่าล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบประมาณ 31,000 กว่าล้านบาท การช่วยเหลือจากกองทุนน้ำมันฯ ด้วยการไปหาเงินกู้มาใส่ในกองทุน จึงเหมือนเป็นการพายเรือในอ่าง

การไม่ลดการเก็บภาษี แต่สุดท้ายก็ไปกู้เงินมา เพื่อมาพยุงราคา จริง ๆ แล้วก็คือ เงินไม่มีพอทั้งคู่ แต่ไม่ไปดูไปลดที่โครงสร้างภาษีน้ำมัน

ในภาวะวิกฤต เราสามารถกลับไปดูเรื่องต้นทุนน้ำมันและบริหารจัดการเฉพาะกิจ การอิงราคาหน้าโรงกลั่นให้เปลี่ยนจากการคิดราคาอ้างอิงแบบเก่า จากการอ้างอิงราคาโรงกลั่นจากสิงคโปร์ มาเป็นการคิดอิงต้นทุนจริง วันนี้ค่าการกลั่นของโรงกลั่นในประเทศได้ราคาดี ถ้าลดลงมาหน่อยในช่วงที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ และการคุยกับภาคเอกชน บริษัทน้ำมัน โรงกลั่น ให้ลดต้นทุน ค่าการตลาดลดชั่วคราวได้หรือไม่

“การบริหารงานในภาวะวิกฤต กับภาวะปกติทั่วไปต่างกัน รัฐบาลต้องโฟกัสที่ความเดือดร้อนของประชาชน รัฐบาลจะมาบอกว่าเรื่องราคาน้ำมันให้ประชาชนมาช่วยแบกคนละครึ่งแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลอยู่ได้ ประชาชนอยู่ไม่ได้”

ปิดท้ายที่ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานพรรคไทยสร้างไทย มองทะลุไปถึงภาระค่าครองชีพที่จะเกิดขึ้นเป็นโดมิโนซ้ำเติมราคาสินค้าแพง ซึ่งเปรียบเป็น “เดือนแห่งวิกฤตปัญหาปากท้องประชาชนอย่างแท้จริง”

ผลกระทบจากมาตรการเลิกอุ้มน้ำมันดีเซลขายปลีก-ราคาก๊าซแอลพีจี ยังต้องมีภาระเรื่องค่าเล่าเรียนศึกษาของบุตรหลานในช่วงเปิดเทอมอีกด้วย

โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูง หากรัฐบาลเลือกที่จะปล่อยให้ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้าหรือน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการรถบรรทุกประกาศที่จะขึ้นราคาค่าขนส่งอีกจะส่งผลไปถึงการปรับราคารอบใหม่ของสินค้าเกือบทุกชนิด

“ขอเรียกร้องให้รัฐบาลยืดเวลาการขึ้นราคาก๊าซหุงต้มและไฟฟ้าออกไปอีกระยะหนึ่ง และใช้วิธีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันทุกชนิดลงอย่างน้อย 1 ปี อยากให้รัฐบาลคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่าการคิดถึงแต่ความอยู่รอดของตัวเองเท่านั้น”

เป็น 3 บิ๊กไอเดีย ของ 3 บิ๊กเนม พรรคการเมืองน้องใหม่ ที่ไม่ใหม่ในวงการการเมือง-แวดวงเศรษฐกิจ