งบประมาณ 2566: พิธา ก้าวไกล อัดงบ 66 เหมือน “ช้างป่วย” ปรับตัวไม่ได้

พิธา ให้ฉายางบ 66 ช้างป่วย ปรับตัวไม่ได้ แค่งบบำเหน็จ บำนาญ ยังเท่ากับงบฯ กระทรวงศึกษา 3 แสนล้าน ทำนายอีก 10 ปี ปะทะ ช้างทรงพลัง “ไพบูลย์” โต้ทันควัน เป็น “ช้างทรงพลัง” ฝ่าวิกฤต

วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจาณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ปีนี้เป็นปีแห่งการฟื้นฟูประเทศ เป็นปีแห่งความหวังที่ประชาชนจะลืมตาอ้าปาก งบประมาณปีนี้จึงเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อและสำคัญ ถ้าเราจัดงบปีนี้ดีประเทศจะทะยานไปข้างหน้า เป็นจุดตัด จุดเปลี่ยนของประเทศ ถ้าจัดงบดี ประเทศจะทะยานไป 10 ปี แต่ถ้าจัดงบไม่ดีประเทศก็จะเป็นทศวรรษสูญหาย เหมือนทศวรรษที่ผ่านมา

งบปีนี้ เป็นงบช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้ รายได้ผันผวน รายจ่ายแข็งตัว การกู้จะหลุดกรอบ เพราะรายได้ 2.49 ล้านล้านบาท ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย เราจำเป็นต้องกู้เพิ่มอีก 6.95 แสนล้านบาท แต่ปัจจัยเสี่ยงการเก็บภาษีของเราถดถอยลง ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงทำให้ภาระเงินกู้สูงขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ ข้าราชการ วงเงินงบประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท คือรายจ่ายที่สูงเท่ากับกระทรวงศึกษาทั้งกระทรวง นี่คือปัญหาของช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้ โครงสร้างงบประมาณตั้งแต่ปี 57–65 งบประมาณ 75% เป็นงบประจำทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรในประเทศ การตั้งงบประมาณไม่ได้ตอบสนองกับวิกฤตหรือโอกาสในปีหน้าแต่อย่างใด นี่เป็นยาขมที่พวกเราทุกคนต้องกลืน เป็นโครงสร้างงบประมาณที่น่ากลัว เพราะทุกๆ 1 บาท ที่เก็บภาษีและกู้มา 40% กลายเป็นเงินเดือน สวัสดิการ กับบำนาญข้าราชการ

นายพิธา กล่าวว่า ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เงินที่ใช้ไปกับบำนาญมากขึ้น 2 เท่า โดยปี 57 บำนาญอยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท ปี 64 อยู่ที่ 3 แสนล้านบาท ปี 66 อยู่ที่ 3.22 แสนล้านบาท ตอนนี้เรามีข้าราชการเกษียณ 8 แสนคน แต่ในปี 2580 จะมีข้าราชการเกษียณ 1.2 ล้านคน แค่บำนาญของบุคคลากรก็เกินงบประมาณที่เราจะใช้ไปเยอะมาก กระบวนการรัฐราชการ รัฐอุ้ยอ้าน จึงเป็นช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้ เราจะแก้ไขเรื่องนี้กันอย่างไร ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ประเทศจะพัฒนาได้อย่างไร

70% ของงบประมาณ 3.18 ล้านล้านบาท หมดไปกับอดีต เหลือใช้จริงไม่ถึง 1 ล้านล้านบาท หรือ 30% ที่จะนำมาฟื้นฟูประเทศ สร้างความหวังให้ประชาชน ถือว่าเป็นปัญหา แต่ยังสามารถทำให้ประชาชนมีความหวังได้ ด้วยการใช้งบอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างสรรค์ ยุติธรรม แต่พอดูรายละเอียดปรากฎว่างบภาคการเกษตร 5.7 หมื่นล้านบาท เป็นการชำระหนี้ให้กับนโยบายประกันกับจำนำข้าวย้อนหลังไปถึงปี 2551

“ประเทศจะมีความหวังประเทศต้องมีความเป็นธรรม ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ เมื่อนำงบประมาณที่ตั้งไว้ให้กับอีอีซี 1.1 หมื่นล้านบาท มาเทียบกับงบเอสเอ็มอี 2.7 พันล้านบาท เป็นการตั้งงบที่ละเลยทุนตัวเล็กตัวน้อย ไม่ยุติธรรม จึงเป็นปัญหาที่ทำให้ประเทศในช่วงที่ประชาชนควรจะมีความหวัง การฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะไม่ยุติธรรม ไม่สร้างสรรค์ และไม่มีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ตนไม่สามารถรับหลักการร่างพ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้ได้” นายพิธา กล่าว

ไพบูลย์ แก้ต่างแทน ประยุทธ์ เป็นช้างทรงพลัง

ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐชี้แจงนายพิธา ว่า ตนชอบอย่างยิ่งที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงหลักการการจัดทำร่างนโยบายฉบับนี้ มีเป้าหมายให้ประเทศได้รับการพัฒนา ฟื้นฟู จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งเศรษฐกิจ สังคมและทรัพยากรมนุษย์ ความมั่นคง สิ่งแวดล้อม

โดยมุ่งเน้นคุณภาพชีวิตที่ดี มีการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่เด็ก วัยกลางคน จนกระทั่งวัยชรา ให้มีหลักประกันและความคุ้มครองทางเศรษฐกิจ สังคม กับกลุ่มผู้เปราะบางและผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงวัย คนพิการและเด็ก ดูแลสวัสดิการรัฐอย่างทั่วถึง ให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกระจายประโยชน์สู่ประชาชนทุกกลุ่ม เสียดาย เรื่องดี ๆ อย่างนี้ แกนนำพรรคฝ่ายค้าน ไปตั้งฉายาร่างกฎหมายฉบับนี้ว่าเป็นขอทานจัดงานวันเกิด เป็นการด้อยค่า

“ฝ่ายค้านไม่น่ามาด้อยค่าในเงินที่จะไปถึงมือประชาชน พูดทำไม แกนนำพรรคฝ่ายค้านอีกท่านหนึ่ง ก็ไปเปรียบเปรยว่าเป็นงบช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้ ผมขออนุญาตแก้ต่างแทน ช้างไม่ได้ป่วย แม้จะพบสารพัดโรคที่กระหน่ำเข้ามาอย่างรุนแรง ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังดูแลขับเคลื่อนประเทศไทย ซึ่งเสมือนช้างที่ทรงพลัง ได้เดินหน้าฝ่าวิกฤตไปได้ ไม่งั้นมาไม่ได้ถึงขนาดนี้หรอกครับ ถือเป็นช้างที่ปรับตัวได้อย่างดี พร้อมที่จะต่อสู้วิกฤตทุกอย่าง ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”นายไพบูลย์กล่าว

นายไพบูลย์กล่าวว่า ส.ส.ฝ่ายค้านประกาศจะโหวตคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ เพราะมีเงินเดือน มีเงินตำแหน่งทุกคน จึงไม่กลัวความเดือดร้อน แต่ประชาชนที่รอความช่วยเหลือจากงบประมาณฉบับนี้ เดือดร้อน เพราะไม่มีเงินเดือน ไม่มีเงินประจำตำแหน่ง ดังนั้น ตนจึงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะโหวตไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชน

โดยเฉพาะในงบประมาณรายจ่ายมีงบลงทุนกล่าว 6.9 แสนล้านบาท เพื่อไปพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างงานและสร้างความเจริญจะได้รับผลกระทบทั้งหมด อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า ส.ส.ที่รักประชาชน มุ่งมั่น ดูแลประชาชนจะช่วยกันโหวตให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ผ่านไปได้

“งบประมาณปี 2566 เปรียบเหมือนสายฝนที่พรั่งพรม โปรยปรายทั่วทั้งแผ่นดิน อำนวยความสดชื่นชื่นฉ่ำให้ชีวิตชีวาให้กับประชาชนทั่วแผ่นดินที่รอคอยความช่วยเหลือจากรัฐ ท่านหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ท่านได้กล่าวไว้เลยยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ จะสนับสนุน เห็นด้วยกับงบประมาณปี 2566 นี้ ตนและเพื่อน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐจะโหวตเห็นด้วยกับงบประมาณปี 66 ทุกคน”นายไพบูลย์กล่าว