ภรรยาชัชชาติ แอร์การบินไทย รักที่เรียบร้อย เรียบง่าย

ประวัติของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่แข็งแกร่งที่สุด คนที่ 17 ระบุเรื่องชีวิตการทำงานเกือบทั้งหมด ตั้งแต่เรียนจบ เป็นอาจารย์ และเข้าสู่วงการเมือง

เรื่องส่วนตัวชีวิตครอบครัว มีเพียงเรื่องลูกชาย ชัชชาติ ให้สัมภาษณ์ บีบีซีไทย ไว้ว่า เป็นเรื่องที่ยากที่สุด สำหรับเขา เมื่อ 24 ปีก่อน เขาพาลูกชาย ด.ช.แสนปิติ สิทธิพันธุ์ วัย 1 ขวบ 2 เดือน ไปหาหมอ หลังพบว่า เมื่อญาติ ๆ เรียกแล้วไม่ตอบสนอง พยาบาลแจ้งผลว่าให้พาลูกไปเรียนภาษามือ เพราะลูกหูหนวกสนิท

ชัชชาติบอกว่า เวลานั้นนับเป็นวินาทีเปลี่ยนชีวิต ตกใจ นั่งร้องไห้ สงสารลูกว่าอนาคตจะเป็นยังไง เหมือนปฏิเสธตัวเอง คิดว่าหมออาจตรวจผิด เขาพาลูกไปตรวจอีกหลายที่ แต่ทุกที่บอกเหมือนเดิม ถึงขนาดไปไหว้พระ บนบานศาลกล่าว ขอให้ลูกหาย ตอนลูกหลับก็เปิดเสียงดังใส่หู เผื่อจะกระตุ้นให้เขาได้ยิน เป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เวลาผ่านไปเริ่มตกตะกอนว่าเป็นไปไม่ได้

ชัชชาติ ใช้เวลา 6 เดือน เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการหูหนวก หวังให้ลูกมีชีวิตเหมือนคนปกติ เริ่มซื้อหนังสือและศึกษาจากงานวิจัย พบทางเลือกมีทั้งการฝึกใช้ภาษามือ การใช้เครื่องช่วยฟัง ซึ่งเหมาะกับคนที่มีการได้ยินเหลืออยู่บ้าง หรือวิธีอ่านปาก แต่ ด.ช.แสนปิติหูหนวกสนิท

สุดท้าย ชัชชาติเลือกวิธีที่เสี่ยงมากที่สุด คือการผ่าตัดประสาทหูเทียม ซึ่งในเมืองไทยเมื่อ 20 ปีก่อนมีเพียง 2-3 ราย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ คือพูดไม่ได้ คนจำนวนมากก็ห้าม แม้แต่แพทย์ก็ไม่แนะนำ สมาคมหูหนวกที่สหรัฐก็ไม่สนับสนุนเพราะคิดว่าจะทำให้ภาษามือหายไป

ในวันนั้น เขาเสาะหาผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก จนพบแพทย์ที่ศูนย์ผ่าตัดประสาทหูเทียม โรงพยาบาลเด็กในนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย ซึ่งผ่าตัดคนไข้มานับพันคน แต่แพทย์ปฏิเสธด้วยเหตุผลยังมีคนไข้ชาวออสเตรเลียที่รอการผ่าตัด เขาต้องบินไปพบแพทย์ 2 รอบ จนสุดท้ายยอมผ่าตัดให้ที่ Cochlear ซึ่งเป็นคลินิกที่ผ่าตัดและฝังอุปกรณ์ประสาทหูเทียมเพื่อช่วยเหลือในเรื่องการได้ยิน

หลังการผ่าตัด ด.ช.แสนปิติ ต้องไปรับการฝึกจากผู้เชี่ยวชาญสัปดาห์ละ 3 วัน เป็นการฝึกออกเสียง 6 พยางค์ อา อู อี อืม เอส เอช แล้วกลับมาฝึกต่อที่บ้านกับลูกทุกวัน หลังจากนั้น 6 เดือน ด.ช.แสนปิติ เริ่มพูดได้

การวิ่งของชัชชาติ วันละ 13 กิโลเมตร มีที่มา เขาบอกว่า เพื่อดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีเพื่อจะอยู่กับลูกให้นานที่สุด

หลังรับตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. กว่าสัปดาห์ ชัชชาติ ขอลาแฟนเพจเฟซบุ๊ก และประชาชนชาว กทม. ระบุว่า “ลาไปหาลูกแปบนะครับ” โดยระบุว่าขอลา 4 วันเพื่อร่วมงานรับปริญญาของลูกชาย นายแสนปิติ สิทธิพันธุ์ หรือ แสนดี ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา

ตลอดเวลา 4 วัน มีการส่งข่าวลงโซเชียล ทั้งภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว มีแต่เพียงภาพชัชชาติ คู่กับลูกชายคนเดียว ไม่ปรากฏภาพของ นางปิยดา สิทธิพันธุ์ ภรรยา

ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง น้อยคนนักที่จะได้เห็นหน้าภรรยาคู่ชีวิตของชัชชาติ ที่ระบุไว้ในประวัติแต่เพียงว่า “ชัชชาติ” สมรสกับ ปิยดา สิทธิพันธุ์ (อัศวฤทธิภูมิ) พนักงานการบินไทย ซึ่งทั้งคู่ได้พบกันตอนเรียนจบที่ต่างประเทศแล้ว ซึ่งในขณะนั้น ภรรยา นางปิยดา ยังทำหน้าที่เป็นแอร์โฮสเตสอยู่

นางปิยดา ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น นางปรมินทร์ทิยา สิทธิพันธุ์ ในฐานะมารดาของนายแสนปิติ ผู้มีชื่อในฐานะเจ้าของบ้านในสหรัฐอเมริกา ราคาประเมินจากฐานภาษี  1.7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 58 ล้านบาท ขณะที่ราคาในท้องตลาดอยู่ที่ 2.2 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 72 ล้านบาท และมีการโอนให้เป็นชื่อ นายแสนปิติ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 ก่อนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.18 วัน

ชัชชาติ เคยกล่าวถึงภรรยา ไว้ว่า “ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ค่อยได้สนใจสาว ๆ เท่าไร เพราะเป็นคนตั้งใจเรียน ส่วนเรื่องสเป็ก ก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เพราะยังเป็นวัยรุ่น”

มีคนเคยถามถึงความรักของชัชชาติ เขาตอบว่าความรักครั้งแรกจำไม่ได้แล้ว นานมาก ๆ อย่าพูดถึงเลย ส่วนนิยามความรัก สำหรับผมเป็นความรู้สึกที่ดีต่อกันและผูกพันกัน ไม่เฉพาะคู่รักหรอก ผมว่าความรู้สึกดี ๆ ก็มีกันทุกคน”

ปิยดา ภรรยาของเขา ถูกชัชชาติรักเพราะ “ผมรักตรงที่เขาเป็นคนเรียบร้อย เรียบง่าย และเขาก็รักเรามาก คอยดูแลเรา และลูกอย่างดีมาก ๆ”

แม้ตลอดเวลาของการเป็นนักการเมือง จะไม่ได้เห็นภาพคู่ของ ชัชชาติและภรรยามากนัก ซึ่งบุคคลใกล้ชิด ให้ข้อมูลว่า ปิยดา ภรรยาชัชชาติ ใช้ชีวิตอยู่กับลูกในสหรัฐอเมริกา

แต่ความสัมพันธ์ในทางกฎหมายเมื่อเขาต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ช่วงพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเข้ารับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

นายชัชชาติ แจ้งต่อ ป.ป.ช.ระบุว่า นางปิยดา คู่สมรส มีรายได้จากการขายทรัพย์สินเป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาท เช่นกัน

โดยมีรายได้จากการขายรถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ์คันเก่า เป็นจำนวนเงินกว่า 3 ล้านบาท ได้กำไร 5 แสนบาท ก่อนถอยรถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ์ คันใหม่ ในราคา 3.3 ล้านบาท


ประวัติภรรยา ที่สั้นมาก และปรากฏตัวน้อยยิ่งกว่าน้อย อาจเป็นการกั้นพื้นที่ชีวิตส่วนตัว ให้ครอบครัวพ้นจากโลกการเมือง